แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - jubu

หน้า: 1 [2] 3
16
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรใช้สติพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง มีใครยอมรับไหมหนอ ว่าตอนนี้ได้ตกหลุมพรางของความฉลาดไปสะแร้ววววว ;D ;D
อ้างถึง
โปรดระวัง...หลุมพรางของความฉลาด !!

ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน ปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างสรรค์ของโลก กล่าวถึง “หลุมพรางของความฉลาด” (Intelligence Trap) ไว้ในหนังสือหลายเล่มอย่างน่าคิด และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ท่านได้พบปะกับคนฉลาด ๆ มามากมายทั่วโลก ทำให้สังเกตเห็นว่า...หลายคนกำลังตกหลุมพราง ของความฉลาด

คนที่เก่งมาก ฉลาดมาก เพราะเรียนเก่ง หรือทำงานเก่ง ถ้าเผลอ ตกหลุมฯ นี้
...เขาจะกลายเป็นคนชอบโต้แย้ง (Defensive)

ความที่มีเหตุมีผลแน่นมาก เวลาแย้งใครหรือโต้เถียง กับใคร เขามักยกเอาเหตุและผลมาแย้งให้คนอื่น ที่คิดแตกต่าง จากเขาจนมุมได้ไม่ยาก

พอโต้แย้ง ถกเถียงกับใครแล้วได้ชัยชนะมากขึ้นๆ เขาจะเริ่มติดใจใน...ความรู้สึกแห่งความสำเร็จนั้น (Sense of Achievement)

...ทำให้เขาค่อย ๆ รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าใคร (Superior)

แรก ๆ เขาอาจรู้สึกว่าเหนือคนรุ่นเดียวกัน ระดับเดียวกัน นาน ๆ ไปจะรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้บังคับบัญชา เหนือกว่าผู้บริหารทุก ระดับ เหนือกว่าผู้บริหารองค์กร เหนือกว่าผู้บริหารประเทศ และ เหนือกว่าทุกคน

----

คนตกหลุมพรางของความฉลาดจึงชอบวิจารณ์ คนอื่นอย่างภาคภูมิและมั่นใจ ด้วยรู้สึกว่าผู้อื่นคิดไม่ได้อย่างเขา (ซึ่งเขาคิดได้เหนือกว่า)

เมื่อรู้สึกเหนือกว่า อาการจึงค่อย ๆ แสดงออกมา คือหยิ่ง ยโส จองหอง อวดดี ทะนงตน (ซึ่งรวมเรียกว่า Arrogant)

อาการนี้จะ แสดงออกได้ทั้งสายตา ท่าที การพูดและการปฏิบัติตนต่อคนอื่น ซึ่งอาการเหล่านี้ผู้คนรอบข้างสัมผัสได้

คนที่เคยน่ารักจึงสามารถ กลายเป็นคนที่ไม่ค่อยน่ารัก หรืออาจถึงกับน่าเบื่อได้ ถ้าตกหลุมพรางของความฉลาด

นอกจากนั้น...เขาจะเป็นคนที่ลังเลสงสัย ปิดใจ (Skeptical) รับสิ่งใหม่ ๆ ความคิดเห็นใหม่ ๆ ได้ยากมาก

ความรู้สึก “เหนือกว่า” มัก พาให้คิดว่า ถ้าอะไรดีจริง คนอย่างตนเองคงรู้หมดแล้ว ถ้าจะมีอะไรที่ตนไม่รู้ สิ่งนั้นก็คงยังไม่ดีพอที่คนอย่างตนต้องเสียเวลาไปรู้ ไปฟัง

----

ความรู้สึกว่า “ข้าแน่” จะมาบดบังตาและใจของคนที่ตกหลุมพรางของความฉลาด ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับ ให้เขาเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้ ฟังความคิดใหม่ ๆ และความรู้ใหม่ ๆ ไม่ได้

เขามักฟังอะไร แล้วเข้าใจได้ยากกว่าคนอื่น เรียนอะไรได้ยุ่งยากมากกว่าคนอื่น เพราะไม่เปิดใจรับ โดยเผลอยึดเอาตนเองเป็นมาตรฐาน แล้วโต้แย้งวิธีของผู้อื่น และเห็นว่าผู้อื่นน่าจะทำอย่างที่ตนเองคิด ทั้งที่ตนเองก็ทำไม่เป็น และยังไม่รู้จริง

----

เขาไม่เปิดใจพร้อมที่จะรับ แต่... กลับเปิดใจพร้อมที่จะแย้ง และวิจารณ์ โดยใช้ความเห็นของตนเป็นหลัก

ข้อมูลใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ จึงไม่สามารถเข้าไปสะสมในกล่อง สมองของเขาเท่าใดนัก

ผลก็คือ...เขาจะมีวิจารณญาณที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ตนเองไม่รู้ตัว

นอกจากนั้น...ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่มีอยู่มากมาย ของคนที่ตกหลุมพรางของความฉลาดจะไม่ค่อยได้ถูก นำมาใช้สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ และสิ่งดีงามอย่างที่น่าจะเป็น

เพราะรสนิยมของเขาเป็นแบบชอบวิจารณ์โต้แย้ง และหาจุดบกพร่องของคนอื่น (ซึ่งไม่ถูกใจตนเอง) มากกว่าที่จะคิด สร้างสรรค์สิ่งดีงาม และลงมือสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอัน

----

โดยธรรมชาติ มนุษย์จะมองตนเอง ดีกว่า ความเป็นจริงอยู่แล้ว

ดังนั้น การฝึกรู้เท่าทัน...หลุมพรางของความฉลาด และมีสติคุมตัวเองไม่ให้ เผลอตกลงไปในหลุมพรางนั้น จึงเป็นสิ่งที่พึงทำคู่ขนานไป

หรือถ้าเผลอตกลงไปบ้างก็รีบดีดตัวขึ้นมา มุ่งนำความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของตน มาสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้น แก่องค์กร ครอบครัว สังคม และ ประเทศชาติ กันดีกว่า
----

Credit : คิดสโมสร (Thinking Society) โดย...อาจารย์ รัศมี ธันยธร

17
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / Flash Mob เสียมเรียบ
« เมื่อ: ธันวาคม 20, 2012, 09:28:10 AM »
เป็นการเต้น Flash mob ฉลองผู้โดยสารเดินทางผ่านสนามบิน ครบ 2 ล้านคน เมื่อวันที่ 5 ธค. ที่ผ่านมา .....น่ารักง่ะ  รู้สึกแถวบ้านเราก็เคยมีmob ที่สนามบินเหมือนกันใช่ป่ะคะ มันเป็นอย่างเดียวกันป่าวหนอ  :P :P
!

18
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / เส้นทางเลี่ยงม๊อบ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 10:16:31 AM »
กองบังคับการตำรวจจราจร แจ้งปิดการจราจรถนนราชดำเนินและถนนเชื่อมต่อ จำนวน 11 เส้นทาง ดังนี้


          1.ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนอู่ทองใน

          2.ถนนศรีอยุธยา ตั้งแต่แยกเบญจ ถึง แยกพล 1

          3.ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกพานิช ถึง แยกวังแดง

          4.ถนนลูกหลวง ตั้งแต่สะพานเทวกรรม ถึง สะพานมัฆวาน

          5.ถนนนครสวรรค์ ตั้งแต่แยกผ่านฟ้า ถึง แยกจักรพรรดิพงษ์

          6.ถนนหลานหลวง ตั้งแต่แยกผ่านฟ้า ถึง แยกหลานหลวง

          7.ถนนบริพัตร ตั้งแต่แยกผ่านฟ้า ถึง แยกดำรงค์รักษ์

          8.ถนนมหาไชย ตั้งแต่แยกป้อมมหากาฬ ถึง แยกสำราญราษฎร์

         9.ถนนดินสอ ตั้งแต่แยกสะพานวันชาติ ถึง แยก เสาชิงช้า

         10.ถนนพระสุเมรุ ตั้งแต่ผ่านฟ้า ถึงแยกสะพานวันชาติ

         11.ถนนตะนาว ตั้งแต่แยกวงเวียน 13 ห้าง ถึง แยกสี่กั๊กเสาชิงช้า

 
          เส้นทางเลี่ยง ถนนราชดำเนิน จำนวน 5 เส้นทาง

         1 จากฝั่งธนบุรีข้ามสะพานพระราม 8 เลี้ยวซ้าย เลี่ยงเข้าถนนประชาธิปไตย หรือถนนนครสวรรค์ ส่วนเข้าถนนหลานหลวงได้ เฉพาะเวลา 06.00-09.00 น.


          2 จากฝั่งธนบุรีข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เลี้ยวขวาเข้าถนนอัษฏางค์ หรือถนนราชดำเนินใน หรือกลับรถเข้าถนนพระอาทิตย์

          3.  ลงทางด่วนยมราช เข้าถนนพิษณุโลก เลี้ยวขวาเข้าถนนพระราม 5

          4 ลงทางด่วนยมราช เข้าถนนหลานหลวง เลี้ยวขวา-ซ้าย ถนนจักรพรรดิพงษ์

          5 ลงทางด่วนพระราม 6 เข้าสู่แยกตึกชัย เลี้ยวขวาเข้าถนนราชวิถี มุ่งหน้าสะพานกรุงธน

19
กระแสไฟฟ้าที่ปล่อยไว้ตามรั้วเรือนจำ เป็นไฟฟ้ากระแสตรง แรงเคลื่อนสูง และลักษณะของการปล่อยกระแสออกมาก็จะเป็นช่วงๆ jubuเข้าใจถูกไหมคะ แล้วถ้าเราไปโดน ก็แค่กระเด็นออก ??? แล้วทำไมที่เรือนจำปทุมฯ โดนดูดถึงตายเลย  ??? ???
<a href="http://www.youtube.com/v/_6y3nWbCd64?version=3&amp;amp;hl=th_TH" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/_6y3nWbCd64?version=3&amp;amp;hl=th_TH</a>

 

20
 :) :) บอกไว้ล่วงหน้า เพราะบางทีjubuอาจจะมาตั้งคำถามในนี้ เป็นสายที่ไม่ถนัดแต่ต้องลงเรียน เพื่อให้จบด่วน!!

 เทอมที่แล้ว จัดไป 27 หน่วยกิต เทอมนี้เอาแค่ 25พอ อิอิ

 ตอนลง 27 หน่วยกิต (12 วิชา) มีคนสบประมาทไว้เยอะมาก ว่าไม่สามารถทำได้ ...."จะเข้ามาคุยว่าเก่งว่างั้นเหอะ"
 อิอิ... ป่าาวนะคะ ไม่เก่งแต่ทำได้แล้วววว โย๊ววว  ;D ;D

21
http://www.sealandgov.org/ :-* :-*

 นี่คือลิงค์เว็บไซด์ของประเทศที่เล็กที่สุดในโลก มีพื้นที่ 207 ตารางเมตร และมีประชากร 4 คน

ซีแลนด์ประกอบไปด้วยฐานซึ่งฝังอยู่ใต้ทะเล เสาทรงกลมขนาดใหญ่สองต้น และดาดฟ้า ในส่วนเสากลมแบ่งเป็นเด็ค 7 ชั้น (A-G) ชั้น A คือดาดฟ้าและเป็นที่วางเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ชั้น B อยู่เหนือทะเล ส่วน C-G อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ในสมัยสงคราม ชั้น B-E เคยถูกใช้เป็นที่เก็บเสบียงอาหารและที่พัก ชั้น F เป็นคลังอาวุธ และชั้น G เป็นที่เก็บของอื่นๆ

อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะมีคนเริ่มเดาออกแล้ว แต่เดิมซีแลนด์ก็คือหนึ่งในสี่ป้อมกลางทะเล (HM Fort Roughs หรือเรียกกันว่า Rough Towers) ที่อังกฤษสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 1944 นั่นเอง ในระหว่างสงคราม เคยมีทหารประจำการอยู่ที่นี่ประมาณ 150-300 นาย หากเมื่อสงครามจบลง ป้อมก็ถูกทิ้งให้ร้างไปตั้งแต่ปี 1956

วันที่ 2 กันยายน 1967 แพดดี้ รอย เบทส์ อดีตเรือโทประจำกองทัพเรืออังกฤษซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุเถื่อน ได้ประกาศให้ป้อมกลางทะเลดังกล่าวแยกตัวเป็นอิสระจากเขตแดนของอังกฤษ และตั้งชื่อประเทศว่าซีแลนด์ รวมทั้งตั้งตัวเองเป็นเจ้าชายรอย เบทส์ หรือเรียกอีกชื่อว่า Roy of Sealand
แน่นอนว่าทางอังกฤษย่อมไม่อยู่เฉย ทำการฟ้องศาลให้รอย เบทส์ถอนตัวออกจากป้อมในทันที หากผลการตัดสินซึ่งออกมาในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1968 ศาลได้ประกาศว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่อยู่ในเขตแดนอังกฤษ รวมทั้งไม่มีประเทศใดรอบข้างอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว จึงถือว่าพื้นที่นั้นอยู่นอกเขตการปกครองของอังกฤษด้วย อาจจะนับได้ว่าซีแลนด์สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากอังกฤษได้โดยปริยาย

จะอย่างไรก็ดี แม้ซีแลนด์จะถือเป็นเขตแดนที่เป็นอิสระจากการปกครองของประเทศอื่น หากโดยสนธิสัญญามองเตวิเดโอ (Treaty of Montevideo) ซึ่งกล่าวว่าการที่ประเทศหนึ่งจะนับเป็นประเทศอย่างเป็นทางการได้นั้น จะต้องมีคำยอมรับจากประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของสหประชาชาติเสียก่อน และในปี 2008 ปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีประเทศใดเลยจากจำนวน 192 ประเทศที่ยอมรับว่าซีแลนด์เป็นประเทศอย่างสมบูรณ์

  ที่มา http://ohx3.exteen.com/20080112/principality-of-sealand

22
21 วิธีประหารสมัยกรุงศรีอยุธยา

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

 

- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอมแล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาด**censor**ลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย
<a href="http://uppic.happymass.com/upload/16ee1ece391c03b651d0c7ab02942bc6.jpg" target="_blank" class="new_win">http://uppic.happymass.com/upload/16ee1ece391c03b651d0c7ab02942bc6.jpg</a>
<a href="http://uppic.happymass.com/upload/e26e496bd8ae31f91dfeb58cf485097a.jpg" target="_blank" class="new_win">http://uppic.happymass.com/upload/e26e496bd8ae31f91dfeb58cf485097a.jpg</a>

ที่มา http://www.keedkean.com/knowledge/KK0001306.html?page_article=2#ixzz2ByY8DuFl



23
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / เวลามีค่าจริงๆนะ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2012, 11:55:01 AM »
<a href="http://www.youtube.com/v/LY5p_8IlZzY?version=3&amp;amp;hl=th_TH" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/LY5p_8IlZzY?version=3&amp;amp;hl=th_TH</a>

 นี่คือคลิปวิดีโอกรุงเทพเมื่อ 100ปีก่อน ::) ::)

24
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / เที่ยวกันไหม.....
« เมื่อ: ตุลาคม 22, 2012, 11:46:18 AM »
เอ๊ะ นี่มันตัวอะไร
 
   ขอสามคำกับภาพนี้  ??? ???

มีคนบอกว่า สัตว์ที่ดุร้าย จะยอมสยบเมื่อเจอจ่าฝูง....เอ่อ  คงไม่ใช่ละ  :D

25
<a href="http://www.youtube.com/v/DsbVpgM50gc?version=3&amp;amp;hl=th_TH" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/DsbVpgM50gc?version=3&amp;amp;hl=th_TH</a>

  ราคาชิ้นละประมาณ สองร้อยกว่าบาท หรือจะดัดแปลงทำเองก็ได้นะคะ อิอิ :blank: :blank:

26

อีกหนึ่งช่วงเวลาที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต คือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งมันก็มาพร้อมกับการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ใกล้จะสมัครสอบ ผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะลงคณะไหน เรียนอะไร เย็นวันหนึ่งจึงเดินเข้าไปคุยกับพ่อ

ธรรม : พ่อครับ! ผมจะเลือกเรียนคณะไหนดี ให้มันจบออกมาแล้วมีงานที่ดีทำ

พ่อ : สิ่งที่ลูกจะเรียนนะ พ่อเลือกไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว

ธรรม : อะไรเหรอพ่อ

พ่อ : สิ่งที่พ่อจะให้ธรรมเรียนก็คือสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่อยู่ในใจธรรมนั่นแหละ ชอบอะไรก็เรียนอันนั้นไปเลยเพราะสิ่งที่ลูกชอบกับสิ่งที่ลูกเรียนมันจะอยู่กับลูกไปตลอดชีวิต ดังนั้นลูกคือคนตัดสินใจ พ่อว่านะ! จะเรียนอะไรก็ตามแต่ ไม่ต้องไปห่วงหรอกว่าจบมาแล้วจะมีงานแบบไหนให้เราทำ เพราะว่ามัน "ไม่มีงานใดหรอกที่ต่ำ ถ้าเราทำด้วยใจที่สูง"

ธรรม : ครับพ่อ! แต่แม่หรือญาติ ๆ ก็อยากให้ผมเรียนหมอกันทั้งนั้น ก็มันมีทั้งเงิน มีทั้งเกียรติ สังคมไทยก็ยอมรับว่าเป็นอาชีพอันดับหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ได้อยากเป็นเท่าไหร่หรอก เอาไงดีพ่อ!

พ่อ : งั้นพ่อขอถามอะไรเราซักข้อนะ ธรรมคิดว่าอะไรที่มันสำคัญที่สุดในโลกนี้ อากาศ, น้ำ, ดิน, มนุษย์, สัตว์ หรือธรรมคิดว่าอะไร

ธรรม : เอ่อ! อืม! ไม่รู้ซิพ่อ

พ่อ : น้ำหยดเล็ก ๆ มันทำให้เกิดผืนป่า ป่าย่อย ๆ มันช่วยฟอกอากาศให้สดชื่น อากาศเพียงน้อยนิดทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ชีวิตมนุษย์พักพิงอยู่บนผืนแผ่นดิน หรือแม้แต่จุลินทรีย์ที่ดูไร้ค่ามันยังช่วยย่อยสลายสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดสมดุล พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันหรอกนะว่าสิ่งไหนมันสำคัญที่สุดในโลกนี้ แต่ว่าถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป โลกใบนี้มันก็จะไม่เป็นโลกอีกต่อไป แล้วมันจะมีอาชีพไหนไหมละลูกที่ดีที่สุดหรือสำคัญที่สุด มันอยู่ที่ตัวเราจะมองจะตัดสินใจต่างหาก อย่าตัดสินใจอะไรเพียงเพราะบรรทัดฐานของสังคมจนเกินไป

ธรรม : เข้าใจแล้วครับพ่อ

พ่อ : สิ่งที่ลูกต้องเรียนก็เรียนตามหัวใจตัวเองนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจบออกมาแล้วจะมาทำอะไร เพราะไม่ว่าจะทำอะไรขอแค่ทำให้มันสุด ๆ เพราะมันจะเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่เวลาที่เราบอกใครไปว่า "เราเก่งในสิ่งที่เราเป็น" แม้ว่าหน้าที่นั้นมันจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยต้อยต่ำเพียงใดก็ตาม และมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่ออยากจะบอกลูกมากคือ อย่าไปดูถูกใครหรือดูถูกอาชีพใด ๆ เพียงเพราะเราคิดว่าเขา "โง่" หรือต้อยต่ำ ในโลกนี้ไม่เคยมีคนโง่ ทุกคนล้วนแต่เป็นคน "อัจฉริยะ" เพราะถ้าเราไป "ตัดสินปลาโดยใช้ความสามารถในการปีนต้นไม้ ทั้งชีวิตมันก็จะคิดว่ามันโง่"

ธรรม : ขอบคุณครับพ่อ

วันนั้นหลังจากที่ผมคุยกับพ่อเสร็จ ผมก็ตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่ผมต้องการจะเรียนในมหาวิทยาลัยคือสิ่งใด และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มันก็คือ "ใจเราเป็นเช่นไร โลกเราก็จะเป็นเช่นนั้น ถ้าใจเราแคบโลกของเรามันก็แคบ ถ้าใจเรากว้างโลกของเรามันก็กว้าง และถ้าใจเราสว่างต่อให้โลกมืดซักแค่ไหนก็จะยังคงเห็นทางไปเสมอ" อย่าไปดูถูกใคร อย่าไปดูถูกอาชีพใด เพราะถ้าขาดใครไป โลกนี้มันก็คงไม่น่าอยู่อีกต่อไป

ในโลกนี้ไม่เคยมีคนที่ "ไร้ค่า"


มีเพียงแค่คนที่ "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" คุณค่าในตนเอง

"ดินหนึ่งก้อนอาจมีค่ามากกว่าทองหนึ่งก้อน เพราะอย่างน้อยต้นไม้ก็ไม่สามารถงอกเงยได้บนก้อนทอง"

ที่มา : หนังสือ "คิดต่าง สร้างใหม่"

27
ใครเกิดก่อน ไวไว รู้ไหมคะ ไวไว มีอายุเท่าไหร่  แล้วรู้ไหมคะ เด็กเสื้อแดงคือใคร ปัจจุบันอายุเท่าไหร่ อิอิ

28
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / GANGNAM STYLE NAVY ....อิอิ
« เมื่อ: กันยายน 29, 2012, 09:56:56 AM »
ได้ใจสุดๆ น่ารักง่ะ  ??? ??? 8) 8)
From Thailand
<a href="http://www.youtube.com/v/FHx4nF7jJzI?version=3&amp;amp;hl=th_TH" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/FHx4nF7jJzI?version=3&amp;amp;hl=th_TH</a>

29


ป่าห้วยขาแข้งก่อนการเสียชีวิตของ สืบ นาคะเสถียร (2506-2533) ป่าห้วยขาแข้งเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนเดินป่าล่าสัตว์ และทำไม้ ว่าเป็นป่าดิบที่แทบไม่มีร่องรอยมนุษย์ตั้งถิ่นฐาน มีอาณาเขตกว้างใหญ่ต่อเนื่องกับป่าทุ่งใหญ่เมืองกาญ เมืองตาก ออกไปถึงพม่า เป็นฉากสำคัญในมหานิยายผจญภัยเรื่องเพชรพระอุมา (คุณพนมเทียนเขียนเพชรพระอุมาตั้งแต่ช่วง 2507 ซึ่งอยู่ในช่วงการจัดตั้องเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาจบภาคสองในปี 2533 นี่เอง) มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก และแต่โดยรอบก็มีการให้เป็นพื้นที่สัมปทานไม้หลายพื้นที่


วันที่ 29 สิงหาคม 2508 คุณอุดม ธนัญชยานนท์สามารถนำภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์มาเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ การสำรวจพบควายป่า สัตว์ที่ทุกคนเชื่อว่าหมดไปแล้วจากเมืองไทย (นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล เขียนไว้ในนิตยสารนิยมไพร เมื่อ 2501 ว่า ควายป่าตัวสุดท้ายอาจจะถูกยิงที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อปี 2451 หรือเกือบห้าสิบปีมาแล้ว) ทว่าได้เพียงภาพซากของมันเพราะพรานเพิ่งจะเด็ดชีพมันไปเสียก่อน คุณอุดมได้เขียนรายงานสำรวจแก่กรมป่าไม้ว่า “..สัตว์ป่าในป่าห้วยขาแข้งมีจำนวนและปริมาณมาก มีสัตว์ที่พบเห็นได้ยาก เช่น แรด จากการสอบถามได้ความว่ายังอาจมีอยู่ ส่วนสัตว์ป่าที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ ช้าง กระทิง วัวแดง เก้ง กวาง ควายป่า กระจง สมเสร็จ หมี ชะนี ลิง ค่าง เสือ หมูป่า ไก่ป่า ไก่ฟ้า นกยูง นกเงือก ฯลฯ...” ซึ่งในรายงานฉบับนี้ ได้กล่าวถึงปัญหาการล่าสัตว์ โดยแบ่งนายพรานออกเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มล่าสัตว์เป็นอาชีพ ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดใกล้เคียง ใช้รถยนต์หรือช้างเป็นพาหนะ ทำให้สามารถล่าเป็นเวลานาน 1-2 สัปดาห์ นิยมล่าในฤดูแล้ง อีกกลุ่มเป็นพรานสมัครเล่น เป็นพ่อค้า คหบดี ใช้อาวุธคุณภาพสูง ยิงสัตว์ป่าเพื่ออวดฝีมือ ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นชาวบ้านล่าสัตว์เป็นอาหาร

ในพ.ศ. 2513 คณะสำรวจกรมป่าไม้นำโดยคุณผ่อง เล่งอี้ พร้อมทั้งช่างภาพชื่อ คุณชวลิต เนตรเพ็ญ เข้าสำรวจและสามารถถ่ายภาพยนต์ควายป่าทั้งฝูงรวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ ทั้งฝูงวัวแดง นกยูง กวาง นำมาฉายให้คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าดู ตัวคุณผ่องเคยกล่าวว่า “ ...ตื่นเต้นมากที่เห็นฝูงควายป่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ตัวของมันใหญ่มาก เวลามันวิ่งแผ่นดินสะเทือน...”

จนกระทั่งเดือนกันยายน 2515 กรมป่าไม้จึงได้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลำดับที่ 5 ของประเทศไทย มีพื้นที่ในเวลานั้น 1,019,375 ไร่ (ประมาณ 1,631 ตารางกิโลเมตร ขนาดใหญ่เท่าๆ กับพื้นที่กรุงเทพมหานคร) นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำขึ้นเป็นสถานีวิจัยสัตว์ป่าแห่งแรกเมื่อ 2519

ระหว่างการจัดตั้งเขตฯ นี้เอง กรมป่าไม้ให้สัมปทานทำไม้กระยาเลย (ไม้อื่นๆที่ไม่รวมไม้สัก) แก่บริษัทไม้อัดไทย ในพื้นที่ป่าติดกับทิศเหนือ ตะวันออก และใต้ มีเนื้อที่รวมประมาณ 9 แสนไร่ (ใกล้เคียงกับพื้นที่เตรียมประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า)

แม้จะถูกประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและป่าห้วยขาแข้งได้รับประกันระดับหนึ่งว่าจะไม่ถูกกลายเป็นพื้นที่สัมปทานไม้ ซึ่งมีความเข้มข้นมากในช่วง 2516-2525 (ในช่วงนั้นป่าประเทศไทยถูกตัดหมดไป ประมาณ 66,499 ตารางกิโลเมตร เทียบได้เป็น 26 เท่าของพื้นที่ป่าห้วยขาแข้งในเวลานั้น) แต่ป่าห้วยขาแข้งก็ถูกคุกคามจากการล่าสัตว์และไฟป่าอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ชุมชนขยายตัวตามการสัมปทานไม้เข้ามาแทบจะประชิดผืนป่าห้วยขาแข้ง ในช่วง พ.ศ. 2521 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกพรานยิงบาดเจ็บในบริเวณป่าสัมปทานของบริษัทไม้อัดไทย

จริงๆ แล้ว การทำป่าสัมปทาน ไม่น่าส่งผลกระทบมากมายเพราะต้องปลูกป่าทดแทน ป้องกันการบุกรุกของชาวบ้าน แต่ในการปฏิบัติที่นี่ในเวลานั้น เช่นในพื้นที่ตอนที่ 1 ลุ่มห้วยทับเสลาพอทำไม้เสร็จกลับมีชาวบ้านเข้ามาตั้งหมู่บ้าน หน่วยงานราชการเองก็ส่งเสริมการจัดตั้งหน่วยสหกรณ์นิคมทับเสลาเพื่อรองรับชุมชนใหม่ เป็นต้น จากการสำรวจในขณะนั้น พบว่าป่าต้นน้ำทับเสลายังคงความสมบูรณ์มาก ป่าสัมปทานทางตอนใต้เป็นที่อยู่อาศัยของควายป่า จึงมีการขอผนวกพื้นที่จากบริษัทไม้อัดไทย โดยให้เหตุผลว่าบริษัทไม่มีมาตรการป้องกันการบุกรุกทำลายป่า ในขณะเดียวกัน กรมชลประทานยังได้เข้ามาดำเนินการก่อสร้างเขื่อนทับเสลาในพื้นที่ป่าสัมปทานตอนที่ 10 แต่ที่สุดแล้ว ฝ่ายอนุรักษ์สามารถต่อรองจน พ.ศ. 2529 สามารถผนวกพื้นที่เพิ่มเติมทางด้านทิศตะวันออกและใต้ รวมมีพื้นที่ 1,609,150 ไร่ (2,574.64 ตารางกิโลเมตร) โดยมีเงื่อนไขว่า กรมป่าไม้ต้องช่วยจัดสรรป่าแห่งอื่นทดแทนให้ด้วย

ปัญหาสัมปทานกลับมาคุกคามห้วยขาแข้งอีกครั้ง ในพ.ศ. 2531 เนื่องจากกรมป่าไม้ไม่สามารถหาป่าให้ไม้อัดไทยทดแทนที่ผนวกได้ กรมป่าไม้จึงให้พื้นที่บางส่วนทางตอนใต้สัมปทานคืนแก่ไม้อัดไทย เป็นพื้นที่เกือบสามแสนไร่

ในปี 2531 เป็นปีกระแสการอนุรักษ์มาแรงจากการคัดค้านเขื่อนน้ำโจนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งสืบ นาคะเสถียรเข้าร่วมและเป็นกำลังสำคัญทางวิชาการที่คัดค้านจนสำเร็จ เมื่อเกิดปัญหากับห้วยขาแข้ง สืบซึ่งขณะนั้นเป็นข้าราชการในกรมป่าไม้เข้านำการคัดค้านเอง จนขยายวงการคัดค้านอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีชาวอุทัยนับหมื่นร่วมลงมติค้าน แต่กรมป่าไม้เองก็เมินเฉย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์น้ำป่าและซุงถล่มที่ภาคใต้นำไปสู่การยกเลิกสัมปทานป่าทั่วประเทศ ป่าห้วยขาแข้งจึงรอดพ้นการทำลายจากการสัมปทานดังกล่าว

สถานการณ์ทำงานในป่าห้วยขาแข้งได้เริ่มเข้าสู่การรับรู้ของสาธารณะในสมัยหัวหน้าสืบ ในพ.ศ. 2532 การปกป้องพื้นที่อนุรักษ์ที่ใหญ่โตกว่ากรุงเทพฯ อยู่ในความรับผิดชอบของข้าราชการ 12 คน และเจ้าหน้าที่ ร้อยกว่าคน ได้งบประมาณไร่ละไม่ถึงบาท ในขณะที่งบปลูกป่าในป่าเสื่อมโทรมสูงถึงพันบาท และคนที่นี่ทำงานเหมือนทหารออกรบที่ขาดยุทธปัจจัยทุกอย่าง มีอาวุธประจำกายเพียงลูกซองห้านัด ระยะหวังผล 9 เมตร ในขณะที่นักล่าสัตว์มีเอ็ม 16 ระยะหวังผล ครึ่งกิโลเมตร ยังมินับว่าขาดทั้งวิทยุสื่อสาร และรถ

เรื่องราวต่างๆ ของคุณสืบในช่วงนี้มีเผยแพร่เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางอยู่แล้วหลังจากคุณสืบเสียชีวิต รวมถึงการแปดเดือนของหัวหน้าสืบที่ทำงานหนักในการทำงานปกป้องสัตว์ป่า ปัญหาความยากจนของชาวบ้านที่อยู่ขอบป่าที่เป็นรากสำคัญของการเข้าไปล่าสัตว์ตัดไม้ ร้านอาหารสัตว์ป่ารอบห้วยขาแข้งมีอาหารสัตว์ป่าไว้บริการลูกค้าทั้งปี มินับรวมการค้าเขากระทิง ควายป่า และซากสัตว์อื่นๆ ปัญหาอิทธิพลและการคอรัปชั่นภายในสังกัดของเขา และอิทธิพลจากนายทุนร่วมกับข้าราชการในพื้นที่ ระหว่างการทำงานที่นี่ลูกน้องหัวหน้าสืบถูกพรานยิงตายไปถึงสองคน สืบเดินทางประสานงานทั่วทิศเพื่อขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆเพื่อปกป้องป่า ทำงานเผยแพร่ความรู้กับเด็กและเยาวชนรอบป่าด้วยตัวเอง วิ่งเต้นหาแหล่งทุนส่วนตัวเพื่อเป็นสวัสดิภาพสวัสดิการให้เจ้าหน้าที่ นำเสนอผลักดันแนวคิดเรื่องป่ากันชนป่าชุมชนให้ชาวบ้าน งานทั้งหมดสืบทำทุกอย่างตั้งแต่เช้ายันค่ำ บางครั้งเที่ยงคืนเขายังอุตสาห์ขับรถจากในเมืองเข้ามาในป่า ตื่นเช้ามืดมาเขียนเอกสารที่คั่งค้างไว้ พอรุ่งสางก็ขับรถออกไปตามโรงเรียนบรรยายให้นักเรียนฟังต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“จะไม่มีใครต้องตายในเขตห้วยขาแข้ง ถ้ามีก็ต้องเป็นผม”

สืบเคยประกาศความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ในช่วงเวลานั้นการอนุรักษ์ป่าและการทำงานหนักแบบหัวหน้าสืบดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่สังคมไทยและวงการราชการคุ้นเคย นอกจากเอกสารเสนอป่ามรดกโลกห้วยขาแข้งทุ่งใหญ่แล้ว แผนการจัดการพื้นที่ห้วยขาแข้งโดยคณะวนศาสตร์ก็ได้จัดทำสำเร็จในสมัยหัวหน้าสืบนี้เอง
 คัดลอกมาจากเว็ป http://www.seub.or.th

  22ปีผ่านไปแล้ว.... ปัญหาการบุกรุกป่ายังมี และเพิ่มมากขึ้น ขอไว้อาลัยให้แก่คุณสืบ นาคะเสถียรค่ะ

30
ข่าวสารจาก TES + สมัครงาน / รับสมัคร โฟร์แมน
« เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 07:54:37 AM »
รับสมัครโฟร์แมนก่อสร้าง สร้างเรือนจำคลองกิ่ว บ้านบึง ชลบุรีค่ะ
รายละเอียดติดต่อ piyapong.spps@gmail.com 0818279189

หน้า: 1 [2] 3