ขอเเสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ท่าน บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ขอให้ท่านจงสู่สุคติ เทอญ
ขอนำประวัติท่าน มาเพื่อเป็นเกียรติ์ และเเนวทางแบบอย่างของคนรุ่นหลังครับ จบข่าว
เครดิต นสพ คมชัดลึก
ฉากและชีวิต 'บรรหาร' วิถีมังกรแห่งลุ่มน้ำสุพรรณ
ฉากและชีวิต 'บรรหาร' วิถีมังกรแห่งลุ่มน้ำสุพรรณ
ต้นฤดูหนาว ปลายปี 2492 หนุ่มวัย 17 ปี หิ้วหีบเหล็กสีแดง (กระเป๋าใส่เสื้อผ้า) ออกจากบ้านย่านตลาดทรัพย์สิน ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เดินไปลงเรือ “เมล์แดง” ที่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี
“ตี๋ นั่นเอ็งจะไปไหน”
หนุ่มรุ่นกระทงตอบสั้นๆ “กรุงเทพฯ” เขาตอบให้ยาวกว่านี้ แต่ใจมันเครียด เพราะมิรู้ว่าหนทางเบื้องหน้านั้น จะเป็นฉันใด
คนในตลาดทรัพย์สินรู้ดีว่า ตี๋น้อยคนนี้ เป็นบุตรชายของ เซ่งกิม กับ สายเอ่ง แซ่เบ๊ เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า “ย่งหยูฮง”
สายเอ่ง เป็นช่างเย็บผ้าฝีมือดี ส่วนเซ่งกิมนั้น ทำงานอยู่กับหลงจู๊โรงเหล้า พวกเขาได้ลูกคนที่ 4 ตั้งชื่อไทยว่า “บรรหาร”
สมัยเด็กๆ “บรรหาร” ชอบเรียนคณิต และคิดเลขในใจได้เร็ว จนเพื่อนตั้งฉายาให้ว่า “หัวลูกคิด” แต่ครูผู้ยิ่งใหญ่ในชีวิตบรรหารคือ แม่สายเอ่ง
บรรหารเคยเล่าว่า “แม่เป็นคนตระหนี่ทั้งเวลาและเงินทอง ละเอียดกับงานทุกชิ้น และเป็นคนรอบคอบ ที่สำคัญแม่เป็นคนอดทน”
นิสัยหลายอย่างแต่เด็กที่ติดตัวบรรหารมาจนถึงปัจจุบันคือ “อดทน ละเอียด รอบคอบ และเป็นคนอยู่ไม่สุข” แม่ของเขาเป็นคนอยู่ไม่นิ่งทั้งวัน
บรรหารช่วยแม่เย็บผ้าอยู่หลายปี แล้ววันหนึ่งเขาก็ปรึกษาแม่ว่า อยากไปเสี่ยงโชคที่กรุงเทพฯ โดยจะไปอยู่กับพี่ชาย แม่สายเอ่งก็ไม่ขัดความประสงค์ของลูกชาย
ก่อนทิ้งถิ่นท่าพี่เลี้ยง บรรหารเข้าไปจุดธูปกราบศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่เป็นศาลไม้เก่าคร่ำ
“หากผมไปอยู่กรุงเทพฯ ได้ทำงานมีความเจริญรุ่งเรือง มีฐานะดี จะกลับมาสร้างศาลใหญ่โต”
กลางทะเลชีวิตในพระนคร บรรหารมาอาศัยอยู่กับพี่ชาย ทั้งทำงานสารพัดอย่าง ทั้งเรียนบัญชี จนวันหนึ่งได้ไปทำงานใน “บริษัทไทยยงก่อสร้าง” เรียนรู้การบริหารงานอย่างมุ่งมั่น
ปี 2499 “บรรหาร ศิลปอาชา” ตัดสินใจตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเอง ชื่อ “บริษัท สหะศรีชัยก่อสร้าง จำกัด” ทั้งบริษัทมี “โต๊ะตัวเดียว” และตัวเขาคนเดียวเป็นภารโรงยันเถ้าแก่
เมื่อก่อร่างสร้างตัวได้ บรรหารก็คิดถึงสาวแม่ค้าที่บ้านเกิดชื่อ “แจ่มใส” ลูกสาวคนสุดท้องของแม่ทับทิม เจ้าของร้านค้าในตลาดเดียวและเป็นคนมีฐานะดีกว่าครอบครัวบรรหาร
บรรหารให้แม่สายเอ่งไปขอสาวแจ่มใส ปรากฏว่าแม่ทับทิมเรียกค่าสินสอด 8 หมื่นบาท แม่สายเอ่งแทบหงายหลังตึง เงินขนาดนี้เมื่อปี 2500 มันมหาศาลทีเดียว
จริงๆ แล้ว แม่ทับทิมไม่อยากยกลูกสาวให้หรอก แต่พอดีคนข้างบ้านมาพูดว่า บรรหารตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่กรุงเทพฯ แม่ทับทิมเห็นว่าเป็นคนทำมาหากิน จึงใจอ่อน แต่ยังไงค่าสินสอดไม่ยอมลด 8 หมื่นบาทขาดตัว
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2500 พิธีมงคลสมรสของ “บรรหาร-แจ่มใส” เป็นที่โจษขานไปทั่วลุ่มน้ำสุพรรณบุรี
หลังแต่งงานบรรหารซื้อรถเก๋งราคา 4 หมื่นบาท วิ่งรอกกรุงเทพฯ-สุพรรณบุรี โดยอ้อมไปทางนครปฐม เพราะขืนนั่งเมล์แดง หรือเมล์บางปลาม้า คงไม่ไหวแน่
เมื่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเจริญรุ่งเรือง บรรหารมีเงินมีทอง ได้กลับมาตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด สร้างโรงเรียน อาคารโรงพยาบาล วัด ถนน และสร้างสิ่งปลูกสร้างสาธารณประโยชน์มากมาย
ชื่อ “บรรหาร-แจ่มใส” จึงเต็มบ้านเต็มเมือง และสมัยโน้นคนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นหน้าบรรหาร แต่รู้ว่าเป็นคนใจบุญสุนทาน
บรรหารเริ่มเข้าสู่วงการเมืองปี 2516 โดยเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี ตอนแรกเพื่อนจะให้เป็นนายกเทศมนตรี บรรหารไม่เอา เพราะที่สมัคร ส.ท.ก็เพราะเพื่อนชวน
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บรรหารได้รับการแต่งตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และเป็นสมาชิกวุฒิสภา ปี 2518
เมื่อการเลือกตั้ง 4 เมษายน 2519 มาถึง บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ อดีตผู้แทนฯ เมืองสุพรรณ มาชักชวนให้ลง ส.ส. เขาจึงตัดสินใจเล่นการเมือง
การหาเสียงสมัยแรก มีการเขียนชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา พร้อมวงเล็บต่อท้ายว่า “แจ่มใส” เนื่องจากคนสุพรรณสมัยโน้นเข้าใจว่า บรรหารนั้นนามสกุล แจ่มใส ด้วยเห็นป้ายติดทั่วบ้านทั่วเมืองว่า “บรรหารแจ่มใส”
ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่ในระยะหลังมานี้ พวกเขาชาวสุพรรณจึงพร้อมใจกันเรียกขาน “บรรหารบุรี”
วันนี้ ฉากและชีวิต “ตี๋น้อย” แห่งตระกูล “เบ๊” เดินทางมาถึงบทสุดท้าย และจากนี้ไป คงเหลือไว้แต่ตำนานความรุ่งเรืองแห่งบรรหารบุรี