ผู้เขียน หัวข้อ: กฎหมายมีไว้ทำไม  (อ่าน 28438 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ yommatood

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 178
  • มงกุฎ: 1
    • ดูรายละเอียด
Re: กฎหมายมีไว้ทำไม
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2013, 08:26:41 AM »
เห็นข่าวนี้แล้วเศร้าใจ ทีพวกจัญไรรุกป่ารุกเขา ไม่ติดคุก แต่คนไปเก็บเห็ดดันติดคุกซะหลายปี

ไปเก็บเห็ดโดนจับรุกป่า ผัวเมียติดคุกวอนให้ช่วย
โลกโซเชียลด่ากันกระหึ่ม ตำรวจทำพิลึกจับ 2 ผัวเมียเข้าไปเก็บเห็ดในป่าข้อหาบุกรุก ถูกสั่งจำคุกถึง 30 ปี ญาติร้องให้ช่วยยันไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา  เชื่อเป็นแพะถูกยัดเยียดความผิดปิดจ็อบของเจ้าหน้าที่ป่าไม้แทนพวกนายทุนที่รุกป่าตัวจริง  วอนชาวเน็ตรวมพลังช่วยเหลือ

กรณีนายอุดม ศิริสอน อายุ 51 ปี และนางแดง ศิริสอน อายุ 48 ปี สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 73 หมู่ที่ 4 ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและลักลอบตัดไม้ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2553 ศาลสั่งจำคุก 30 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือ 15 ปี ล่าสุดคดีอยู่ระหว่างฎีกานั้น

ที่สตูดิโอ 8 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ถนนลาดพร้าว เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมด้วยนายอุดม ซึ่งได้รับการประกันตัว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. เปิดแถลงข่าวขอความเป็นธรรม หลังออกรายการ “ปากโป้ง” นายสงกรานต์กล่าวว่า ญาติผู้เสียหายได้ร้องว่า นายอุดมและภรรยาไม่ได้ทำความผิดบุกรุกตัดไม้ในป่าสงวน 72 ไร่ ตามที่พนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ฟ้องต่อศาล ตนดูหลักฐานการสอบสวนและสำนวนที่ส่งศาลเชื่อได้ว่าไม่ได้ทำผิดจริง ที่รับสารภาพเพราะเข้าใจผิด คิดว่าที่ตำรวจสอบสวนเป็นเรื่องการเข้าไปเก็บเห็ด แต่เมื่อถูกฟ้องกลายเป็นเรื่องบุกรุกป่าตัดไม้ ญาติได้ไปร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ แต่คดีอยู่ในศาลแล้ว จึงมาร้องให้เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติฯช่วยเหลือ

นายสงกรานต์กล่าวว่า จากการเข้าไปตรวจสำนวนพบว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จึงร้องต่อศาลฎีกาให้ไต่สวนข้อเท็จจริง ไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ขณะนี้สำนวนการสอบสวนอยู่ในศาลฎีกาหมดแล้ว ศาลฎีการู้สำนวนแล้ว มีการไต่สวนทุกปาก แม้แต่ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ก็มาไต่สวน ในเรื่องความประพฤติและความน่าเชื่อว่านายอุดมและภรรยากระทำความผิดหรือไม่ เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าในสถานที่เกิดเหตุไม่เจอตัวทั้งสองคน เจอเพียงรถจักรยานยนต์เท่านั้น เมื่อสอบถามว่ารถไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรก็บอกว่าไปเก็บเห็ด ตำรวจเรียกไปสอบก็เรื่องเก็บเห็ดไม่มีเรื่องบุกรุกป่า จึงยอมรับสารภาพ ศาลได้สั่งจำคุก 30 ปี แต่ลดกึ่งหนึ่งเหลือ 15 ปี วันนี้ความจริงเริ่มปรากฏว่าเป็นแพะ หลายฝ่ายกำลังยื่นมือช่วย นายอุดมได้ประกันตัวในวงเงินประกัน 5 แสนบาท และในวันที่ 23 ธ.ค. จะขอยื่นประกันตัวนางแดง จึงอยากวิงวอนศาลฎีกา หลังจากดูสำนวนการสอบสวน โปรดเมตตาให้ประกันตัวเพื่อให้มาดูแลสามีที่กำลังป่วย และขอให้อัยการสูงสุดเข้ามาสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังคดีนี้

“นายอุดม หูตึง เดินก็ไม่ค่อยไหว ตอนนี้ยังป่วย ต้องรักษาตัวที่ถูกรถบรรทุกชน เลือดออกในสมอง ติดคุกมาแล้ว 1 ปี 8 เดือน ได้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ถือว่าได้รับความเป็นธรรมในระดับหนึ่ง ตอนนี้ศาลฎีกามีข้อเท็จจริงหมดแล้ว จากการไต่สวนที่ตำรวจสอบมาทั้งหมดเป็นเรื่องเก็บเห็ด ไม่มีการตัดไม้ และเป็นการสอบทันทีทันใด ไม่มีทนายความเอาไปสอบส่วนตัว จนถูกสั่งจำคุก ได้มาร้องผมระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา จึงขอให้ศาลไต่สวน เพราะคดีนี้ผิดปกติวิสัย สอบกี่ครั้งๆ ก็เก็บเห็ด แล้วมาตั้งข้อหาเรื่องบุกรุกป่า กรณีนี้จะเป็นอุทาหรณ์ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ การใช้อำนาจและกฎหมาย จึงอยากถามว่ามีใครเอาสองตายายเป็นแพะ ปิดจ๊อบช่วยนายทุนหรือไม่” นายสงกรานต์กล่าว

ด้านนายอุดมกล่าวว่า ยืนยันว่าเข้าไปเก็บเห็ด ไม่ได้ตัดไม้ แต่ต้องติดคุกทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ที่ผ่านมาได้แต่ยกมือท่วมหัวขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถ้าทำผิดก็ขอให้ถูกลงโทษตายไปเลย แต่ถ้าไม่ผิดก็ขอให้มีโอกาสรอด รู้สึกน้อยใจในโชคชะตา ที่ศาลตัดสินให้ติดคุก และสงสารภรรยาที่ถูกจำคุกยังไม่ได้ประกัน ตอนอยู่ในคุกได้แต่เขียนจดหมายไปบอกว่าไม่ต้องห่วง ตนสบายดี ทำใจได้แล้ว กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่จริงๆยังทำใจไม่ได้ นั่งร้องไห้เกือบทุกวัน วันนี้รู้สึกดีใจที่หลายคนยื่นมือช่วยเหลือทำให้เริ่มมีความหวัง

สำหรับกรณีนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ก มีการนำข้อมูลของสามีภรรยาเก็บเห็ดถูกคดีบุกรุกป่ามาโพสต์แสดงความเห็นพร้อมทั้งร้องขอความเป็นธรรม ขอให้ชาวเน็ตรวมพลังช่วยเหลือ บางคนมองว่าศาลไม่ผิด ต้องต่อว่าคนทำคดีและพนักงานสอบสวน กฎหมายไทยเอื้อเฉพาะคนรวย ส่วนคนจนติดคุก รวมทั้งนายนครินทร์ พุ่มระนาด หรือ “เน วัดดาว” อดีตสมาชิกแก๊งโอรส ที่เคยโด่งดังจากการท้าตีท้าต่อยกับ “แอล โอรส” ผ่านโซเชียลแคม แต่ภายหลังได้ประกาศกลับตัวกลับใจเป็นคนดีไม่ยุ่งสิ่งผิดกฎหมาย ก็ได้เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งโพสต์ข้อความระดมความช่วยเหลือจากชาวเน็ต และรวบรวมเงินมามอบช่วยเหลือจำนวน 2.5 หมื่นบาท

ที่มา http://m.thairath.co.th/content/newspaper/390045

ออฟไลน์ อินทะเนียร์น้อย

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6114
  • มงกุฎ: 3
    • ดูรายละเอียด
Re: กฎหมายมีไว้ทำไม
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2013, 04:42:03 AM »
อ่านบท ความที่ท่านyommatoodนำมาให้อ่านแล้ว  เศร้าครับ  เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมาก เพราะเราไม่ใช้ ทนายความ  เป็นที่พึ่ง   เหมือนประเทศที่เขาเจริญเเล้ว  เช่น อเมริกา หรือ ยุโรป  อาชีพทนายความจะมีความสำคัญ  นี่ก็จะเห็นว่า พอตำรวจจับ  ก็ว่าไปตามที่ ตร จะให้เรื่องมันจบเร็ว ๆ  ไม่ บีบไข่ ไฟช๊อต  ก็ว่ากันไปตาม ทักษะ ที่เกิดขึ้นไร้มาตรฐาน  ดังที่เราเคยได้ยินมาในอดีต  แต่เดี๋ยวดีขึ้น  แต่ยังมี ดังข่าวนี้ เชื่อว่า ขาดความรู้ ด้านกฏหมายไปช่วยที่ทันท่วงที จนเลยไปถึงชั้น  ศาล  แก้ยาก เพราะ ศาลท่าน พิจารณาตามหลัก ฐาน  จนมีบางกลุ่มไม่เชื่อศาล ระวังเหอะ ...   รอดูอีกคดี   ครับ...ว่า ศาลจะให้ ไอ้ หนุ่ย ฆาตกร ต่อเนื่อง ฆ่าเด็ก....ไปตามที่ ตร ทำสำนวน เป่า...งานนี้ ไม่น่าจะพลิกโผ่นะครับ   .พี่น้อง ..เฮ้อ   สังคมมันต่ำทราม ขนาดนี้ สงสาร ...พ่อกำนัน  จัง  จบข่าว ;D ;D ;D ;D

ออฟไลน์ yommatood

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 178
  • มงกุฎ: 1
    • ดูรายละเอียด
Re: กฎหมายมีไว้ทำไม
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2013, 12:56:51 PM »
อัยการเลื่อนสั่งคดี “ลูกเจ้าสัวกระทิงแดง” ซิ่งเฟอร์รารี่ชนตำรวจดับ เป็นครั้งที่ 5 - เหตุเจ้าตัวไม่สบาย

 วันที่ 26 ส.ค. ที่สำนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เจ้าของสำนวนคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส อายุ 28 ปี บุตรชายนายเฉลิม อยู่วิทยา นักธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดง ตกเป็นผู้ต้องหาคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กรณีขับรถพุ่งชนด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่ ป. สน.ทองหล่อ เสียชีวิต บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย.2555 เปิดเผยว่าวันนี้ทางอัยการมีคำสั่งเลื่อนการสั่งคดีออกไปก่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมต่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดในประเด็นขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม 4 ปาก รวมทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญ 2 ปากที่ได้ตรวจสอบความเร็ว ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม


 นายฤชา ระบุว่า แต่จนถึงวันนี้เจ้าพนักงานสอบสวนยังสอบสวนเพิ่มเติมไม่เสร็จ อีกทั้งวันนี้ผู้ต้องหาได้ส่งทนายความมาประสานขอให้เลื่อนการสั่งคดีออกไปก่อน เนื่องจากผู้ต้องหาไม่สบาย โดยมีใบรับรองแพทย์มายืนยัน อัยการจึงอนุญาตให้เลื่อนการสั่งคดีไปเป็นวันที่ 2 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ก่อนที่จะหมดอายุความในข้อหาขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนด


 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเลื่อนการสั่งคดีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 2 ข้อหา ฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน และมีความเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง 2 ข้อหา ฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขับรถขณะมึนเมาสุรา ซึ่งอัยการพิจารณาแล้วเห็นควรให้ฟ้องฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอีก 1 ข้อหา เนื่องหลักฐานจากกล้องวงจรปิดจับภาพรถขณะที่ผู้ต้องหาขับผ่าน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรานั้น มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน เพราะพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ฟังไม่ได้แน่ชัดว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ขณะขับรถหรือไม่

ชูวิทย์ฉะ2มาตรฐานคดีลูกเจ้าสัว
 สีกากีสุดหมอง "ชูวิทย์" แฉทายาทกระทิงแดงลอยชายกลับจากสิงคโปร์เข้าไทยด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ ตม.ไม่จับ เพราะพนักงานสอบสวนไม่ขออนุมัติศาลออกหมายจับในคดีซิ่งเฟอร์รารีขยี้ดาบตำรวจทองหล่อเสียชีวิต ฮัมเพลง "อำนาจเงิน" เตือนอย่า 2 มาตรฐานระหว่างลูกคนรวยกับคนจน ด้านตำรวจอ้างอยู่ระหว่างต้วมเตี้ยมตรวจสอบใบแพทย์ว่าจริงหรือปลอม ยัน "บอส" อยู่ต่างประเทศ
    เมื่อคืนวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความลงแฟนเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ I'm No.5 ในหัวข้อ “อำนาจเงิน” เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าว ระบุว่านายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ลูกชายคนสุดท้องของนายเฉลิม อยู่วิทยา และนางดารณี อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ผู้ต้องหาที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับ ได้เดินทางกลับจากสิงคโปร์เข้าประเทศไทยแล้ว หลังไปดูการแข่งรถฟอร์มูล่า 1
    เมื่อเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555 นายวรยุทธขับรถเก๋งสปอร์ตเฟอร์รารี  ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งาน (ป.) สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดปากซอยสุขุมวิท 49
    คดีนี้เวลาล่วงมานานถึง 1 ปี ขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าตำรวจทำสำนวนล่าช้า กระทั่งเมื่อวันที่ 3 ก.ย.56 นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ระบุว่า ได้นัดให้นายวรยุทธเข้าพบพนักงานอัยการ แต่กลับส่งทนายความมาขอเลื่อนอ้างว่าป่วย ต้องไปรักษาตัวที่สิงคโปร์ อัยการจึงเห็นว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี และได้เลื่อนนัดอัยการมาแล้วหลายครั้ง จึงได้ประสานให้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ขอศาลออกหมายจับ เพื่อเร่งติดตามตัวนายวรยุทธมาส่งฟ้องใน 2 ข้อหา คือ ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือฯ ซึ่ง พ.ต.อ.สัมฤทธิ์ เกตุแย้ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ทองหล่อ ออกมายืนยันว่า ได้ประสานกับ พ.ต.ท.วิรดล ทับทิมดี พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ให้นำเอกสาร รวมทั้งข้อมูลทั้งหมดไปดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อขอออกหมายจับนายวรยุทธที่ศาลอาญากรุงเทพใต้แล้ว
    นายชูวิทย์ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไม่สามารถควบคุมตัวนายวรยุทธไว้ได้ เนื่องจากตำรวจไม่ได้ขอหมายจับจากศาล
    สำหรับเนื้อหาที่นายชูวิทย์โพสต์ลงเฟซบุ๊ก มีว่า
    “ผมเพิ่งได้ข้อมูลจากแหล่งข่าว ‘ตรวจคนเข้าเมือง’ ว่า ‘ลูกชายกระทิงแดง’ นายวรยุทธ อยู่วิทยา เดินทางกลับจากสิงคโปร์ถึงประเทศไทยคืนนี้ โดยไม่มี ‘หมายจับ’ ดังนั้น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงไม่สามารถควบคุมตัวได้ ต้องปล่อยให้เข้าประเทศไทยสบายบรื๋อ
    เมื่อ ‘อัยการ’ แจ้งให้ตำรวจทราบว่า ผู้ต้องหาไม่มารายงานตัว และมีพฤติการณ์ ‘หลบหนี’ เป็นหน้าที่ของ ‘ตำรวจ’ ที่ต้องร้องขอ ‘หมายจับ’ จากศาล
    แต่จนถึงตอนนี้ตำรวจกลับไม่ดำเนินการอะไร ทำเป็น ‘ทองไม่รู้ร้อน’ ปล่อยให้ ‘ลูกคนรวย’ บินไปดู F-1 แล้วเดินลอยนวลกลับประเทศไทย
    เสียงเพลง ‘อำนาจเงิน’ ยังก้องอยู่ในหัวผม เขาร้องว่า ‘มีเงินเดินซื้อสินค้าได้ บางคราวเชื่อไหม แม้ใจที่แกร่งเกิน ยังถูกน้ำเงินกระหน่ำเสียยับเยิน โอ้เงินเอ๋ยเงิน อำนาจมันเกินจะเอื้อมอาจ คนเราเคารพ คบกันที่เงิน ไม่มีเขาเมิน ดั่งหมดญาติ เงินตรานี่หรือ คือกระดาษ ผู้สร้างขึ้นมา ซื้อนาจ หลงใหลเป็นทาษ อำนาจเงิน...’
    ‘กฎหมายต้องถูกใช้อย่างเท่าเทียม’ มีคนถามผมว่า ‘หากเป็นลูกคุณ จะทำอย่างไร?’ ผมตอบว่า ‘ง่ายๆ ทำตามกฎหมาย มอบตัว เผชิญหน้ากับความจริง’
    ตำรวจต้องไม่มี ‘สองมาตรฐาน’ ระหว่าง ‘ลูกคนรวย’ กับ ‘ลูกคนจน’
    มันเป็นเส้นบางๆ ที่อ่อนไหว และตำรวจกำลัง ‘เดินข้าม’ อย่างไม่แคร์ความรู้สึกของสังคม”
    นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าว ตม. ว่านายวรยุทธได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงค่ำวันที่ 23 โดยเช่าเหมาลำเครื่องบินส่วนตัว จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเดินทางด้วยสายการบินไหน เที่ยวบินที่เท่าไหร่ โดยเมื่อทาง ตม.ได้ตรวจสอบประวัติแล้วก็ไม่พบหมายจับ ซึ่งเรื่องที่ตำรวจจะต้องมาขอหมายจับจากศาล แต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่ากำลังตรวจสอบใบรับรองแพทย์จากสิงคโปร์ว่าถูกต้องหรือไม่นั้น ถือเป็นการดึงเวลา เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว ถือว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้สังคมคลางแคลงใจ ทั้งตนทราบว่ามีการวิ่งเต้นโดย ส.ว.สรรหา อักษรย่อ ส.เสือ มีการบังคับข่มขู่ให้อัยการแจ้งข้อหาในสำนวนให้เบาลง หากไม่ทำตามจะให้ไปประจำอยู่ที่ 3 จังหวัดภาคใต้
    “เรื่องนี้ต้องโฟกัสที่ตัวบุคคลว่าตำรวจ สน.ทองหล่อทำอะไรอยู่ การที่ผู้ต้องหาไม่มอบตัวทำให้คดีหมดอายุความ จนอัยการต้องเสนอให้ตำรวจขอศาลออกหมายจับ เพราะมีพฤติการณ์หลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมออกหมายจับทั้งที่ผู้เสียชีวิตก็เป็นตำรวจ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องให้ความเป็นธรรมกับสังคม และคดีนี้ก็มีการชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งไปแล้ว เหลือเพียงคดีอาญาซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เจตนา ถ้าหากมีการเข้ามามอบตัวก็อาจจะได้รับการลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญาได้อยู่แล้ว” นายชูวิทย์กล่าว
    มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ ตม.ได้ประสานมายังพนักงานอัยการ แจ้งว่าพบนายวรยุทธเดินทางเข้าประเทศ พร้อมสอบถามว่านายวรยุทธถูกออกหมายจับหรือไม่ ทางอัยการได้ยืนยันว่าขณะนี้ทางเจ้าพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งการขออนุมัติศาลออกหมายจับมาให้อัยการ ทาง ตม.จึงไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ
    นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ โดยกล่าวสั้นๆ ว่า เกรงจะเป็นการเสนอความคิดเห็นก้าวล่วงในหน้าที่ของอัยการฝ่ายคดีอัยการอาญากรุงเทพใต้ 1 ที่เป็นผู้รับผิดชอบคดี
    แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ปกติแล้วถ้ายังไม่มีการขออำนาจศาลออกหมายจับ นายวรยุทธก็สามารถเดินทางเข้า-ออกนอกประเทศได้ ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับเจ้าพนักงานสอบสวนจะดำเนินการจับกุมตัวนายวรยุทธมาให้อัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้เมื่อใด ส่วนอำนาจการขอหมายจับนั้น ตามขั้นตอนแล้วเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะขอหมายจับต่อศาล
    ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบไปยังศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง ปรากฏว่าไม่พบข้อมูลรายชื่อของนายวรยุทธอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแต่อย่างใด
    ด้าน พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 กล่าวว่า คดีนายวรยุทธได้ประสานทางพนักงานสอบสวนไปแล้ว พบว่านายวรยุทธได้ให้ทนายความขอเลื่อนพบพนักงานอัยการไปก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้ยังอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยนายเสกสรร บางสมบูรณ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา สำนักงานอัยการกรุงเทพใต้ ได้ให้ตำรวจตรวจสอบใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ ว่าเป็นใบรับรองแพทย์ที่ถูกต้องหรือไม่ ในการขอเลื่อนเข้าพบ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา ซึ่งทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก็ได้ประสานพนักงานสอบสวนแล้วว่าต้องการตัวหรือไม่หากเดินทางกลับประเทศ
    ขณะที่ พ.ต.อ.ชุมพล พุ่มพวง ผกก.สน.ทองหล่อ กล่าวว่า ภายหลังทางอัยการตีเรื่องกลับให้ตำรวจเร่งดำเนินการรวบรวมเอกสาร ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายวรยุทธ ขณะนี้ขั้นตอนยังอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารต่างๆ โดยเฉพาะเอกสารใบรับรองแพทย์จาก M.B.B.S. (Singapore) ประเทศสิงคโปร์ ลงวันที่ 1 ก.ย. ที่ทางทนายความผู้รับมอบอำนาจนำมายื่นให้อัยการเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุป่วยกะทันหันและไม่สามารถเดินทางมาได้ รวมถึงผลการตรวจร่างกายของนายวรยุทธ ซึ่งขอยืนยันว่ายังอยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่ได้มีการยื่นไปขออนุมัติศาลแต่อย่างใด
    พ.ต.อ.ชุมพลกล่าวว่า คดีนี้ทราบว่าในข้อหาขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ได้หมดอายุความ 1 ปี ไปตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ยังเหลืออีก 2 ข้อหา คือ 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือตามสมควร และทำให้ทรัพย์สินทางราชการเสียหาย โดยขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้ทำงานแบบตรงไปตามมา และเร่งดำเนินการเตรียมเอกสาร เพื่อขอศาลอนุมัติออกหมายจับต่อไป
    พ.ต.อ.สัมฤทธิ์ เกตุแย้ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ทองหล่อ กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งใบรับรองแพทย์จากประเทศสิงคโปร์ ที่อัยการจากสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ได้รับมาจากทนายความนายวรยุทธ เพื่อขอเลื่อนการสั่งฟ้องคดีออกไปก่อน และได้สั่งให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจสอบที่กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นฉบับจริงหรือไม่ ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารใบรับรองแพทย์ ทางตำรวจอาจต้องตั้งข้อหาแจ้งความเท็จเพิ่มเติมอีกหนึ่งกระทงด้วย ส่วนกระแสข่าวที่ว่านายวรยุทธได้เดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยแล้วนั้น ทาง สน.ทองหล่อได้ตรวจสอบไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้รับแจ้งว่าไม่เป็นความจริง.

http://www.thaipost.net/x-cite/250913/79780

ผมจะรอดูว่าจะติดคุกหรือจะรอด จะได้พิสูจน์กระบวนการยุติธรรมของไทย