แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - yommatood

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12
61
ด่วน ทิ้งทวนอนุมัติงบหลายแสนล้าน ก่อนยุบสภา
กระทู้ข่าว การเมือง ทุบสถิติ-ด่วน! ครม.นัดด่วน- รบ.มาร์คทิ้งทวน 15ชม.ถลุงรวดเดียว 5แสนล้าน


แม้ “ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” วงเงินงบประมาณจาก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงิน กว่า 8 แสนล้านบาท จะเกิดปัญหา มีกระแสข่าวทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นมากมาย

จน “รัฐมนตรี” และ “รองนายกรัฐมนตรี” อย่างน้อย 3 คนจะต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ในขณะที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังอยู่ในอำนาจ แถม “รัฐมนตรี” อีกหลายต่อหลายคน กำลังอยู่ในระหว่างที่องค์การตรวจสอบ และองค์กรต่างๆ ยังสอบสวนอยู่ในขณะนี้
แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้น จะไม่ได้ทำให้ “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” ในขณะนั้น เกิดความยำเกรงต่อ “สายตาประชาชน”
ซ้ำร้ายในการประชุม ครม. นัดสุดท้ายของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในวันที่ 3 พ.ค. 2554 ก่อนที่จะเข้าสู่สถานะของ “รัฐบาลรักษาการ” เนื่องจากต้องหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. 2554

“รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนไทยทั้งประเทศ ด้วยการ “ประชุม ครม.ต่อเนื่องยาวนาน ข้ามวันข้ามคืน นานกว่า 15 ชั่วโมง” พร้อมกับมีมติอนุมัติงบประมาณ “หลายแสนล้าน” !!! หน้าตาเฉย

โดยสื่อมวลชนแทบจะทุกสำนัก พาดหัวข่าว ในเช้าวันที่ 4 พ.ค. 2554 ถึงเรื่องนี้ไปในทิศทางเดียวกัน โดย “ไทยโพสต์” พาดหัวว่า “ครม.นัดทิ้งทวนเทกระจาดร่วม 5 แสนล้าน!” หรืออย่าง “เว็บไซด์ คม ชัด ลึก” ที่พาดหัวว่า “ครม.นัดทิ้งทวน200วาระอนุมัติงบนับแสนล้าน” แล้ว “หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์” อีกครั้งใน วันที่ 5 พฤษภาคม 2554 ซึ่งพาดหัวว่า

“รุมเฉ่ง ครม.นัด-ด่วน 208 เรื่อง!” ( http://www.thaipost.net/node/38148 )
พร้อมโปรยว่า “รัฐบาลเรียงหน้าแจงประชุม ครม.นัดประวัติศาสตร์ 15 ชั่วโมง 208 เรื่อง ชี้อนุมัติแต่หลักการ เรื่องเก่าเก็บ “มาร์ค” อ้าง รธน.กำหนดจะให้รอ 3 เดือนถึงช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือ “ปณิธาน” ไปน้ำขุ่นๆ บอกงบทับซ้อนไปมา แท้จริงแค่หมื่นล้าน อดีต ผอ.สำนักงบฯ ถึงกับผงะ! ยิ่งกว่ายอดมนุษย์ในการ-ด่วน”


โดย “ไทยโพสต์” รายงานเอาไว้ชัดเจนว่า เมื่อวันพุธมีผลพวงจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดประวัติศาสตร์ ที่นอกจากมีวาระพิจารณามากถึง 208 วาระแล้ว ยังมีเวลาประชุมแบบข้ามคืนยาวนานถึง 15 ชั่วโมง โดยจบการประชุมเมื่อเวลา 02.00 น. ของวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งตลอดเวลาการประชุม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้นั่งหัวโต๊ะควบคุมวาระต่างๆ ตลอด ขณะที่รัฐมนตรีหลายคนเมื่อเริ่มดึกเกินเที่ยงคืนก็เริ่มง่วงนอน โดยรัฐมนตรีหลายคนไม่ได้อยู่จนเลิกและเดินทางกลับก่อน นำโดย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย, นายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เป็นต้น
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมช่วงเที่ยงคืนได้มีการเสิร์ฟข้าวต้มรอบดึก ท่ามกลางรัฐมนตรีที่คอยลุ้นให้เรื่องที่เสนอทั้งวาระเพื่อทราบและจรผ่านการพิจารณา โดยเฉพาะการเสนอขออนุมัติงบกลางเป็นจำนวนมาก ทำให้นายกฯ แสดงความเป็นห่วงว่าจะทำให้งบกลางปีเหลือไม่มาก หากเกิดเรื่องด่วนขึ้นเกรงจะมีปัญหา
โดยท้ายข่าว “นายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์” อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ ครม.อนุมัติงบประมาณแสนล้านในเวลา 15 ชั่วโมง เพราะตั้งแต่ทำงานสำนักงบฯ มาก็ไม่เคยเห็นแบบนี้ ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ การยัดวาระเข้ามาทีเดียวนับร้อยแล้วพิจารณากันแบบจานด่วน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีแผนการใช้งบประมาณที่ดีพอ
“โครงการต่างๆ เร่งด่วนขนาดไหนถึงต้องรีบร้อนอนุมัติ ถ้าเป็นภัยธรรมชาติหรือสงครามก็พออนุโลม แต่การเช่ารถตรวจการณ์ของกระทรวงมหาดไทย 22 ล้านบาท ถามว่าสำคัญขนาดไหน” นายพูลทรัพย์กล่าว และว่า การพิจารณา 200 วาระกันแบบทั้งวันทั้งคืน ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ สมัยป็น ผอ.สำนักงบฯ เรื่องที่ได้เข้า ครม.ต้องสำคัญที่สุด และต้องกลั่นกรองก่อนเป็นสัปดาห์


http://www.phranakornsarn.com/sukhumbhand/1208.html


62
โมฆบุรุษ

คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
สามขุม ผูกประเจียด



 
15 ชั่วโมง หรือ 900 นาที

เวลาที่ครม.อภิสิทธิ์ใช้ประชุมสั่งลา

244 เรื่อง

วาระที่ครม.อภิสิทธิ์พิจารณาตัดสินใจ

557,517 ล้านบาท

งบประมาณที่ครม.อภิสิทธิ์อนุมัติทิ้งทวน

เฉลี่ยแล้วอภิสิทธิ์กับรมต.ใช้เวลาแค่ 3 นาทีกับ 6 วินาที พิจารณาเรื่องสำคัญของประเทศชาติ 1 เรื่อง 1 วาระ

เฉลี่ยแล้วทุกๆ 1 นาที อภิสิทธิ์กับรมต.อนุมัติงบประมาณ 619,463,333.333 บาท

โอ้ว พระเจ้า กินเนสส์ บุ๊กน่าจะบันทึกสถิติโลก

ในฐานะครม. ยอดขยัน ประชุมนาน คิดไว ตัดสินใจเร็ว ใช้เงินมโหฬาร

อภิสิทธิ์และคณะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ไม่ใช่แค่ของโลก แต่ระดับทะลุจักรวาล

อย่างว่านานๆ ได้เป็นรัฐบาล แถมตอนเป็นก็เป็นแบบไม่ปกติ ก่อนจะไปก็เลยไม่เกรงใจประชาชนเจ้าของเงิน

ให้มันรู้ไปเลยว่า ใคร พวกไหน คือ เจ้าของประเทศ

เห็นรัฐบาล พรรค นักการเมือง อิ่มหนำสำราญกับเงินทองกันแล้ว

ลองมาดูข้าวปลาอาหาร "ของจริง" ที่ประชาชนต้องกิน ต้องใช้ ต้องซื้อ

ข้อมูลจาก นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์

ราคาผักสดปรับขึ้น 14.4% อาหารสำเร็จรูปปรับขึ้น 5.6%

เนื้อสัตว์สูงขึ้น 7.2% โดยเฉพาะหมู เพิ่มจากก.ก.ละ 115-130 บาท เป็น 125-145 บาท

ไข่ไก่ทะลุฟองละ 4 บาท เช่นเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊สก็ขยับทุกนาที

ประจานรัฐบาลหมดปัญญา ไร้ประสิทธิภาพ ความสามารถ

ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องกระทบกับชีวิต และปากท้องประชา ชนโดยตรง

แล้วยังสิ้นคิด สิ้นท่า หน้ามืด ถึงขนาดต้องไปเกาะโหนกระแสละครทีวี

ยอมกระโดดลง "น้ำเน่า" เพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนด้อย อ่อนหัดของตัวเอง

ผลก็คือนอกจากทำอะไรไม่ได้ ยังทำให้ละครเรื่องนั้นเรตติ้งกระฉูดกว่าเก่า

เน่าหนักกว่าละครกันทั้งรัฐบาล

และที่ประกาศ ยืนยัน ย้ำหนักแน่นมาตลอด จะยุบสภาภายในสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.

วันนี้วันศุกร์สุดสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. ถ้าสภายังไม่ยุบ ก็แสดงว่าตระบัดสัตย์ ไร้สัจจะ ผิดคำพูด

ทำเนียบ "โมฆบุรุษ" กวักมือเรียก!?


63
ด่วน ทิ้งทวนอนุมัติงบหลายแสนล้าน ก่อนยุบสภา
กระทู้ข่าว การเมือง ทุบสถิติ-ด่วน! ครม.นัดด่วน- รบ.มาร์คทิ้งทวน 15ชม.ถลุงรวดเดียว 5แสนล้าน


แม้ “ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” วงเงินงบประมาณจาก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงิน กว่า 8 แสนล้านบาท จะเกิดปัญหา มีกระแสข่าวทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นมากมาย

จน “รัฐมนตรี” และ “รองนายกรัฐมนตรี” อย่างน้อย 3 คนจะต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ในขณะที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังอยู่ในอำนาจ แถม “รัฐมนตรี” อีกหลายต่อหลายคน กำลังอยู่ในระหว่างที่องค์การตรวจสอบ และองค์กรต่างๆ ยังสอบสวนอยู่ในขณะนี้
แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้น จะไม่ได้ทำให้ “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” ในขณะนั้น เกิดความยำเกรงต่อ “สายตาประชาชน”
ซ้ำร้ายในการประชุม ครม. นัดสุดท้ายของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในวันที่ 3 พ.ค. 2554 ก่อนที่จะเข้าสู่สถานะของ “รัฐบาลรักษาการ” เนื่องจากต้องหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. 2554

“รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนไทยทั้งประเทศ ด้วยการ “ประชุม ครม.ต่อเนื่องยาวนาน ข้ามวันข้ามคืน นานกว่า 15 ชั่วโมง” พร้อมกับมีมติอนุมัติงบประมาณ “หลายแสนล้าน” !!! หน้าตาเฉย

โดยสื่อมวลชนแทบจะทุกสำนัก พาดหัวข่าว ในเช้าวันที่ 4 พ.ค. 2554 ถึงเรื่องนี้ไปในทิศทางเดียวกัน โดย “ไทยโพสต์” พาดหัวว่า “ครม.นัดทิ้งทวนเทกระจาดร่วม 5 แสนล้าน!” หรืออย่าง “เว็บไซด์ คม ชัด ลึก” ที่พาดหัวว่า “ครม.นัดทิ้งทวน200วาระอนุมัติงบนับแสนล้าน” แล้ว “หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์” อีกครั้งใน วันที่ 5 พฤษภาคม 2554 ซึ่งพาดหัวว่า

“รุมเฉ่ง ครม.นัด-ด่วน 208 เรื่อง!” ( http://www.thaipost.net/node/38148 )
พร้อมโปรยว่า “รัฐบาลเรียงหน้าแจงประชุม ครม.นัดประวัติศาสตร์ 15 ชั่วโมง 208 เรื่อง ชี้อนุมัติแต่หลักการ เรื่องเก่าเก็บ “มาร์ค” อ้าง รธน.กำหนดจะให้รอ 3 เดือนถึงช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือ “ปณิธาน” ไปน้ำขุ่นๆ บอกงบทับซ้อนไปมา แท้จริงแค่หมื่นล้าน อดีต ผอ.สำนักงบฯ ถึงกับผงะ! ยิ่งกว่ายอดมนุษย์ในการ-ด่วน”


โดย “ไทยโพสต์” รายงานเอาไว้ชัดเจนว่า เมื่อวันพุธมีผลพวงจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดประวัติศาสตร์ ที่นอกจากมีวาระพิจารณามากถึง 208 วาระแล้ว ยังมีเวลาประชุมแบบข้ามคืนยาวนานถึง 15 ชั่วโมง โดยจบการประชุมเมื่อเวลา 02.00 น. ของวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งตลอดเวลาการประชุม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้นั่งหัวโต๊ะควบคุมวาระต่างๆ ตลอด ขณะที่รัฐมนตรีหลายคนเมื่อเริ่มดึกเกินเที่ยงคืนก็เริ่มง่วงนอน โดยรัฐมนตรีหลายคนไม่ได้อยู่จนเลิกและเดินทางกลับก่อน นำโดย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย, นายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เป็นต้น
ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมช่วงเที่ยงคืนได้มีการเสิร์ฟข้าวต้มรอบดึก ท่ามกลางรัฐมนตรีที่คอยลุ้นให้เรื่องที่เสนอทั้งวาระเพื่อทราบและจรผ่านการพิจารณา โดยเฉพาะการเสนอขออนุมัติงบกลางเป็นจำนวนมาก ทำให้นายกฯ แสดงความเป็นห่วงว่าจะทำให้งบกลางปีเหลือไม่มาก หากเกิดเรื่องด่วนขึ้นเกรงจะมีปัญหา
โดยท้ายข่าว “นายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์” อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ ครม.อนุมัติงบประมาณแสนล้านในเวลา 15 ชั่วโมง เพราะตั้งแต่ทำงานสำนักงบฯ มาก็ไม่เคยเห็นแบบนี้ ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ การยัดวาระเข้ามาทีเดียวนับร้อยแล้วพิจารณากันแบบจานด่วน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีแผนการใช้งบประมาณที่ดีพอ
“โครงการต่างๆ เร่งด่วนขนาดไหนถึงต้องรีบร้อนอนุมัติ ถ้าเป็นภัยธรรมชาติหรือสงครามก็พออนุโลม แต่การเช่ารถตรวจการณ์ของกระทรวงมหาดไทย 22 ล้านบาท ถามว่าสำคัญขนาดไหน” นายพูลทรัพย์กล่าว และว่า การพิจารณา 200 วาระกันแบบทั้งวันทั้งคืน ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ สมัยป็น ผอ.สำนักงบฯ เรื่องที่ได้เข้า ครม.ต้องสำคัญที่สุด และต้องกลั่นกรองก่อนเป็นสัปดาห์


http://www.phranakornsarn.com/sukhumbhand/1208.html

 

64
อัยการเลื่อนสั่งคดี “ลูกเจ้าสัวกระทิงแดง” ซิ่งเฟอร์รารี่ชนตำรวจดับ เป็นครั้งที่ 5 - เหตุเจ้าตัวไม่สบาย

 วันที่ 26 ส.ค. ที่สำนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เจ้าของสำนวนคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส อายุ 28 ปี บุตรชายนายเฉลิม อยู่วิทยา นักธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดง ตกเป็นผู้ต้องหาคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กรณีขับรถพุ่งชนด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่ ป. สน.ทองหล่อ เสียชีวิต บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย.2555 เปิดเผยว่าวันนี้ทางอัยการมีคำสั่งเลื่อนการสั่งคดีออกไปก่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมต่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดในประเด็นขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม 4 ปาก รวมทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญ 2 ปากที่ได้ตรวจสอบความเร็ว ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม


 นายฤชา ระบุว่า แต่จนถึงวันนี้เจ้าพนักงานสอบสวนยังสอบสวนเพิ่มเติมไม่เสร็จ อีกทั้งวันนี้ผู้ต้องหาได้ส่งทนายความมาประสานขอให้เลื่อนการสั่งคดีออกไปก่อน เนื่องจากผู้ต้องหาไม่สบาย โดยมีใบรับรองแพทย์มายืนยัน อัยการจึงอนุญาตให้เลื่อนการสั่งคดีไปเป็นวันที่ 2 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ก่อนที่จะหมดอายุความในข้อหาขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนด


 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเลื่อนการสั่งคดีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 2 ข้อหา ฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน และมีความเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง 2 ข้อหา ฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขับรถขณะมึนเมาสุรา ซึ่งอัยการพิจารณาแล้วเห็นควรให้ฟ้องฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอีก 1 ข้อหา เนื่องหลักฐานจากกล้องวงจรปิดจับภาพรถขณะที่ผู้ต้องหาขับผ่าน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรานั้น มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน เพราะพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ฟังไม่ได้แน่ชัดว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ขณะขับรถหรือไม่

ชูวิทย์ฉะ2มาตรฐานคดีลูกเจ้าสัว
 สีกากีสุดหมอง "ชูวิทย์" แฉทายาทกระทิงแดงลอยชายกลับจากสิงคโปร์เข้าไทยด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ ตม.ไม่จับ เพราะพนักงานสอบสวนไม่ขออนุมัติศาลออกหมายจับในคดีซิ่งเฟอร์รารีขยี้ดาบตำรวจทองหล่อเสียชีวิต ฮัมเพลง "อำนาจเงิน" เตือนอย่า 2 มาตรฐานระหว่างลูกคนรวยกับคนจน ด้านตำรวจอ้างอยู่ระหว่างต้วมเตี้ยมตรวจสอบใบแพทย์ว่าจริงหรือปลอม ยัน "บอส" อยู่ต่างประเทศ
    เมื่อคืนวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความลงแฟนเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ I'm No.5 ในหัวข้อ “อำนาจเงิน” เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าว ระบุว่านายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ลูกชายคนสุดท้องของนายเฉลิม อยู่วิทยา และนางดารณี อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ผู้ต้องหาที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับ ได้เดินทางกลับจากสิงคโปร์เข้าประเทศไทยแล้ว หลังไปดูการแข่งรถฟอร์มูล่า 1
    เมื่อเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555 นายวรยุทธขับรถเก๋งสปอร์ตเฟอร์รารี  ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งาน (ป.) สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดปากซอยสุขุมวิท 49
    คดีนี้เวลาล่วงมานานถึง 1 ปี ขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าตำรวจทำสำนวนล่าช้า กระทั่งเมื่อวันที่ 3 ก.ย.56 นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ระบุว่า ได้นัดให้นายวรยุทธเข้าพบพนักงานอัยการ แต่กลับส่งทนายความมาขอเลื่อนอ้างว่าป่วย ต้องไปรักษาตัวที่สิงคโปร์ อัยการจึงเห็นว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี และได้เลื่อนนัดอัยการมาแล้วหลายครั้ง จึงได้ประสานให้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ขอศาลออกหมายจับ เพื่อเร่งติดตามตัวนายวรยุทธมาส่งฟ้องใน 2 ข้อหา คือ ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือฯ ซึ่ง พ.ต.อ.สัมฤทธิ์ เกตุแย้ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ทองหล่อ ออกมายืนยันว่า ได้ประสานกับ พ.ต.ท.วิรดล ทับทิมดี พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ให้นำเอกสาร รวมทั้งข้อมูลทั้งหมดไปดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อขอออกหมายจับนายวรยุทธที่ศาลอาญากรุงเทพใต้แล้ว
    นายชูวิทย์ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไม่สามารถควบคุมตัวนายวรยุทธไว้ได้ เนื่องจากตำรวจไม่ได้ขอหมายจับจากศาล
    สำหรับเนื้อหาที่นายชูวิทย์โพสต์ลงเฟซบุ๊ก มีว่า
    “ผมเพิ่งได้ข้อมูลจากแหล่งข่าว ‘ตรวจคนเข้าเมือง’ ว่า ‘ลูกชายกระทิงแดง’ นายวรยุทธ อยู่วิทยา เดินทางกลับจากสิงคโปร์ถึงประเทศไทยคืนนี้ โดยไม่มี ‘หมายจับ’ ดังนั้น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงไม่สามารถควบคุมตัวได้ ต้องปล่อยให้เข้าประเทศไทยสบายบรื๋อ
    เมื่อ ‘อัยการ’ แจ้งให้ตำรวจทราบว่า ผู้ต้องหาไม่มารายงานตัว และมีพฤติการณ์ ‘หลบหนี’ เป็นหน้าที่ของ ‘ตำรวจ’ ที่ต้องร้องขอ ‘หมายจับ’ จากศาล
    แต่จนถึงตอนนี้ตำรวจกลับไม่ดำเนินการอะไร ทำเป็น ‘ทองไม่รู้ร้อน’ ปล่อยให้ ‘ลูกคนรวย’ บินไปดู F-1 แล้วเดินลอยนวลกลับประเทศไทย
    เสียงเพลง ‘อำนาจเงิน’ ยังก้องอยู่ในหัวผม เขาร้องว่า ‘มีเงินเดินซื้อสินค้าได้ บางคราวเชื่อไหม แม้ใจที่แกร่งเกิน ยังถูกน้ำเงินกระหน่ำเสียยับเยิน โอ้เงินเอ๋ยเงิน อำนาจมันเกินจะเอื้อมอาจ คนเราเคารพ คบกันที่เงิน ไม่มีเขาเมิน ดั่งหมดญาติ เงินตรานี่หรือ คือกระดาษ ผู้สร้างขึ้นมา ซื้อนาจ หลงใหลเป็นทาษ อำนาจเงิน...’
    ‘กฎหมายต้องถูกใช้อย่างเท่าเทียม’ มีคนถามผมว่า ‘หากเป็นลูกคุณ จะทำอย่างไร?’ ผมตอบว่า ‘ง่ายๆ ทำตามกฎหมาย มอบตัว เผชิญหน้ากับความจริง’
    ตำรวจต้องไม่มี ‘สองมาตรฐาน’ ระหว่าง ‘ลูกคนรวย’ กับ ‘ลูกคนจน’
    มันเป็นเส้นบางๆ ที่อ่อนไหว และตำรวจกำลัง ‘เดินข้าม’ อย่างไม่แคร์ความรู้สึกของสังคม”
    นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าว ตม. ว่านายวรยุทธได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงค่ำวันที่ 23 โดยเช่าเหมาลำเครื่องบินส่วนตัว จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเดินทางด้วยสายการบินไหน เที่ยวบินที่เท่าไหร่ โดยเมื่อทาง ตม.ได้ตรวจสอบประวัติแล้วก็ไม่พบหมายจับ ซึ่งเรื่องที่ตำรวจจะต้องมาขอหมายจับจากศาล แต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่ากำลังตรวจสอบใบรับรองแพทย์จากสิงคโปร์ว่าถูกต้องหรือไม่นั้น ถือเป็นการดึงเวลา เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว ถือว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้สังคมคลางแคลงใจ ทั้งตนทราบว่ามีการวิ่งเต้นโดย ส.ว.สรรหา อักษรย่อ ส.เสือ มีการบังคับข่มขู่ให้อัยการแจ้งข้อหาในสำนวนให้เบาลง หากไม่ทำตามจะให้ไปประจำอยู่ที่ 3 จังหวัดภาคใต้
    “เรื่องนี้ต้องโฟกัสที่ตัวบุคคลว่าตำรวจ สน.ทองหล่อทำอะไรอยู่ การที่ผู้ต้องหาไม่มอบตัวทำให้คดีหมดอายุความ จนอัยการต้องเสนอให้ตำรวจขอศาลออกหมายจับ เพราะมีพฤติการณ์หลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมออกหมายจับทั้งที่ผู้เสียชีวิตก็เป็นตำรวจ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องให้ความเป็นธรรมกับสังคม และคดีนี้ก็มีการชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งไปแล้ว เหลือเพียงคดีอาญาซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เจตนา ถ้าหากมีการเข้ามามอบตัวก็อาจจะได้รับการลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญาได้อยู่แล้ว” นายชูวิทย์กล่าว
    มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ ตม.ได้ประสานมายังพนักงานอัยการ แจ้งว่าพบนายวรยุทธเดินทางเข้าประเทศ พร้อมสอบถามว่านายวรยุทธถูกออกหมายจับหรือไม่ ทางอัยการได้ยืนยันว่าขณะนี้ทางเจ้าพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งการขออนุมัติศาลออกหมายจับมาให้อัยการ ทาง ตม.จึงไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ
    นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ โดยกล่าวสั้นๆ ว่า เกรงจะเป็นการเสนอความคิดเห็นก้าวล่วงในหน้าที่ของอัยการฝ่ายคดีอัยการอาญากรุงเทพใต้ 1 ที่เป็นผู้รับผิดชอบคดี
    แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ปกติแล้วถ้ายังไม่มีการขออำนาจศาลออกหมายจับ นายวรยุทธก็สามารถเดินทางเข้า-ออกนอกประเทศได้ ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับเจ้าพนักงานสอบสวนจะดำเนินการจับกุมตัวนายวรยุทธมาให้อัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้เมื่อใด ส่วนอำนาจการขอหมายจับนั้น ตามขั้นตอนแล้วเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะขอหมายจับต่อศาล
    ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบไปยังศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง ปรากฏว่าไม่พบข้อมูลรายชื่อของนายวรยุทธอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแต่อย่างใด
    ด้าน พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 กล่าวว่า คดีนายวรยุทธได้ประสานทางพนักงานสอบสวนไปแล้ว พบว่านายวรยุทธได้ให้ทนายความขอเลื่อนพบพนักงานอัยการไปก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้ยังอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยนายเสกสรร บางสมบูรณ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา สำนักงานอัยการกรุงเทพใต้ ได้ให้ตำรวจตรวจสอบใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ ว่าเป็นใบรับรองแพทย์ที่ถูกต้องหรือไม่ ในการขอเลื่อนเข้าพบ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา ซึ่งทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก็ได้ประสานพนักงานสอบสวนแล้วว่าต้องการตัวหรือไม่หากเดินทางกลับประเทศ
    ขณะที่ พ.ต.อ.ชุมพล พุ่มพวง ผกก.สน.ทองหล่อ กล่าวว่า ภายหลังทางอัยการตีเรื่องกลับให้ตำรวจเร่งดำเนินการรวบรวมเอกสาร ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายวรยุทธ ขณะนี้ขั้นตอนยังอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารต่างๆ โดยเฉพาะเอกสารใบรับรองแพทย์จาก M.B.B.S. (Singapore) ประเทศสิงคโปร์ ลงวันที่ 1 ก.ย. ที่ทางทนายความผู้รับมอบอำนาจนำมายื่นให้อัยการเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุป่วยกะทันหันและไม่สามารถเดินทางมาได้ รวมถึงผลการตรวจร่างกายของนายวรยุทธ ซึ่งขอยืนยันว่ายังอยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่ได้มีการยื่นไปขออนุมัติศาลแต่อย่างใด
    พ.ต.อ.ชุมพลกล่าวว่า คดีนี้ทราบว่าในข้อหาขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ได้หมดอายุความ 1 ปี ไปตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ยังเหลืออีก 2 ข้อหา คือ 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือตามสมควร และทำให้ทรัพย์สินทางราชการเสียหาย โดยขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้ทำงานแบบตรงไปตามมา และเร่งดำเนินการเตรียมเอกสาร เพื่อขอศาลอนุมัติออกหมายจับต่อไป
    พ.ต.อ.สัมฤทธิ์ เกตุแย้ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ทองหล่อ กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งใบรับรองแพทย์จากประเทศสิงคโปร์ ที่อัยการจากสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ได้รับมาจากทนายความนายวรยุทธ เพื่อขอเลื่อนการสั่งฟ้องคดีออกไปก่อน และได้สั่งให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจสอบที่กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นฉบับจริงหรือไม่ ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารใบรับรองแพทย์ ทางตำรวจอาจต้องตั้งข้อหาแจ้งความเท็จเพิ่มเติมอีกหนึ่งกระทงด้วย ส่วนกระแสข่าวที่ว่านายวรยุทธได้เดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยแล้วนั้น ทาง สน.ทองหล่อได้ตรวจสอบไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้รับแจ้งว่าไม่เป็นความจริง.
http://www.thaipost.net/x-cite/250913/79780

65
2 ปมกองทัพมหากาพย์ที่ยังไม่จบ “คดี GT200″ แม้ศาลอังกฤษตัดสินจำคุกเจ้าของบริษัทผู้ผลิต และกรณี“เรือเหาะ”
15 ตุลาคม 2013
กลายเป็นคดีฉาวอีกครั้งสำหรับ “GT200” อุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิด หรือที่ถูกเรียกว่า “ไม้ล้างป่าช้า” หลังเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2556 ศาลเมืองโอลด์เบลีย์ แคว้นเคนท์ของอังกฤษ มีคำพิพากษาจำคุก นายแกรี โบลตัน เจ้าของบริษัทโกลบอล เทคนิคัล เป็นเวลา 7 ปี ในข้อหาฉ้อโกงจัดจำหน่ายเครื่องตรวจจับระเบิด GT200 ให้แก่หลายประเทศ…
โดยสรรพคุณ GT200 ที่อวดอ้างว่าสามารถตรวจจับระเบิด ยาเสพติด งาช้าง ยาสูบ และธนบัตรได้ อีกทั้งมีขีดความสามารถตรวจจับลึกลงไปใต้ดิน 700 เมตร และขึ้นไปในอากาศถึง 4 กิโลเมตร ทั้งที่ไม่เป็นความจริง
ทั้งนี้ จากการสืบสวนของทางการอังกฤษ ชี้ว่าต้นทุนการผลิตมีราคาเพียง 5 ปอนด์ คิดเป็นไทยก็ประมาณ 250 บาท แต่นำมาขายราคาเครื่องละประมาณ 10,000 ปอนด์ หรือประมาณ 5 แสนบาทไทย โดยได้ขายเครื่องตรวจวัตถุระเบิดให้หลายประเทศ อาทิ เม็กซิโก ปากีสถาน อียิปต์ ตูนิเซีย จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมถึง ประเทศไทย
กรณีประเทศไทย GT200 กลายเป็นมหากาพย์เรื่องยาวของหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะกองทัพ ที่เริ่มต้นเมื่อกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ได้จัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 มาใช้งาน ในสมัย “บิ๊กต๋อย” พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ โดยมีคณะกรรมการตรวจคุณภาพของกองทัพอากาศเป็นผู้คัดเลือกอุปกรณ์ ก่อนดำเนินการจัดซื้อกับบริษัทผู้จำหน่ายโดยตรง
และสมัย “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้บัญชาการทหารบก ได้ทดลองใช้เครื่องตรวจ GT200 ซึ่งปรากฏว่าพบอาวุธในมัสยิดที่ อ.รามัน จ.ยะลา จึงทำให้เชื่อว่าเครื่องนี้สามารถใช้การได้จริง ป้องกันอันตรายจากระเบิดของผู้ก่อการร้าย เพื่อรักษาชีวิตทั้งของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ได้
 
ที่มาภาพ: http://www.oknation.net
ต่อมา กองทัพบก ซึ่งขณะนั้นมีความต้องการอุปกรณ์ค้นหาวัตถุระเบิดสำหรับชุดปฏิบัติการ “หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด” หรือ “อีโอดี” ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำหนดสเปก ต้องสามารถค้นหาวัตถุระเบิดได้ในระยะไกล และในบริเวณกว้างเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่
ช่วงปี 2551-2552 ในยุคที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 รวมทั้งสิ้น 541 เครื่อง เพื่อใช้ในภารกิจของหน่วยอีโอดี และหน่วยทหารเฉพาะกิจทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
“เราต้องการเครื่องมือตรวจหาวัตถุระเบิด เพื่อหาระเบิดอย่างแม่นยำ และสร้างความปลอดภัยเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ แม้จะถูกวิจารณ์ว่า เครื่อง GT200 จะมีประสิทธิภาพไม่สมคำกล่าวอ้าง หรือค้นหาได้แม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่กำลังพลก็ต้องการเครื่องมือนี้ ดีกว่าไม่มีอะไรใช้ป้องกันชีวิต…” เจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธ ทบ. ระบุ
แต่หลังเกิดเหตุระเบิดสะเทือนขวัญ ที่ “อิรัก” มีผู้เสียชีวิตนับ 100 ราย จนนำไปสู่การตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องมือตรวจสอบวัตถุระเบิด “เออีดี 651” ซึ่งถูกนำมาใช้ในอิรักขณะนั้น จนลามมาสู่การตั้งคำถามในเรื่องประสิทธิภาพของ “GT200” ของกองทัพไทย เนื่องจากเหตุการณ์ระเบิดในภาคใต้ยังเกิดขึ้นแทบรายวัน
ส่งผลให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐนตรีขณะนั้น มอบหมายให้คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 และเครื่อง ALPHA 6 โดยมี ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการอิสระ และนายจุฬา พิทยาภินันท์ นิสิตปริญญาเอก ร่วมเป็นกรรมการฯ
ปรากฏว่า ผลทดสอบออกมาในทางลบ เมื่อสถิติการทดสอบ 10 ครั้ง สามารถตรวจพบวัตถุต้องสงสัยได้ไม่ถึงครึ่ง เครื่องดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้จริงอย่างที่อวดอ้าง ในที่สุด กองทัพบกก็สั่งเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดจากการใช้งาน รวมถึง 16 หน่วยงานรัฐที่ได้จัดซื้อ GT200 และ ALPHA 6 อาทิ กรมสรรพาวุธทหารบก กองบัญชาการกองทัพไทย โดยศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) กรมราชองครักษ์, กองทัพเรือ, สถาบันนิติวิทยาศาสตร์, กรมการปกครอง, กรมศุลกากร, ตำรวจภูธร จ.ชัยนาท, ตำรวจภูธร จ.พิษณุโลก ฯลฯ ซึ่งรวมแล้ว มีจำนวนถึง 1,398 เครื่อง มูลค่า 1,178 ล้านบาท
จากนั้น หน่วยงานรัฐ ในฐานะผู้เสียหาย ได้ร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งมีมติรับไว้เป็นคดีพิเศษ ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเอาผิดกับบริษัทเอกชน ที่เป็นตัวแทนผู้ผลิต ผู้จำหน่าย หรือตัวแทนจำหน่วย อุปกรณ์ GT200 และ ALPHA 6 ให้หน่วยงานราชการ ในข้อหาจำหน่ายอุปกรณ์ไร้ประสิทธิภาพ ประกอบด้วย บริษัทคอมส์แทร็ค ประเทศอังกฤษ ของเจมส์ แมคคอร์มิค พร้อมตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยอีก 2 บริษัท คือ บริษัท แจ็คสัน อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เอ.เอส.แอล.เอ็ม. เทรดดิ้ง จำกัด และยังมีอีกหลายบริษัทที่จำหน่ายให้หน่วยงานรัฐ
ทั้งนี้ ผลสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง เชื่อได้ว่าเครื่องมือดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพ และไม่สามารถใช้งานได้จริง ประกอบกับมีรายงานผลรายงานการดำเนินงานการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ได้ทำการทดสอบเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย GT 200 และผลรายงานการตรวจวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง GT 200 และ ALPHA 6 จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ศอท.) หรือ PTEC พบเหตุอันน่าเชื่อว่าเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยดังกล่าวไม่มีคุณภาพตามที่บริษัทฯ กล่าวอ้าง
ระหว่างที่กระบวนการตรวจสอบของไทยกำลังดำเนินไปอยู่นี้ ศาลเมืองโอลด์เบลีย์ แคว้นเคนท์ของอังกฤษ มีคำพิพากษาจำคุกนายแกรี โบลตัน เจ้าของบริษัทโกลบอล เทคนิคัล เป็นเวลา 7 ปี ในข้อหาขายเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 ให้แก่หลายประเทศ
พร้อมมีรายงานว่า ศาลอังกฤษเตรียมดำเนินการเอาผิดกรณีบริษัท ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย เครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย ALPHA 6 ในฐานความผิดเดียวกับบริษัทผู้ผลิตและผู้จำหน่าย GT 200 ซึ่งล่าสุดศาลอังกฤษได้เลื่อนพิจารณาตัดสินจากเดือนกันยายน 2556 ไปเป็นช่วงต้นปี 2557
ทั้งนี้ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับมอบหมายในฐานะหัวหน้าชุดตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดเผยว่า “คดีนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คดีที่ดีเอสไอรับผิดชอบ คือ การเร่งดำเนินการเอาผิดกับบริษัทตัวแทนจำหน่าย ซึ่งในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ นางศิวาพร ชื่นจิตต์ศิริ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะเดินทางไปที่ประเทศอังกฤษตามคำเชิญของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองลอนดอน เพื่อดูพยานหลักฐานความเชื่อมโยงระหว่างบริษัท ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย GT200 และ ALPHA 6 ระหว่างอังกฤษกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ก่อนจะประสานขอความร่วมมือตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินการเอาผิดบริษัทในต่างประเทศ”
ในส่วนที่สอง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างดำเนินการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเอาผิดกับเจ้าพนักงานของรัฐ ทั้งฐานปล่อยปละละเลย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยราชการมูลค่ามหาศาล และความโปร่งใสของการจัดซื้อจัดจ้าง โดยนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิด GT200 และ ALPHA 6 ได้สอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหลายราย และภายใน 3 เดือน ป.ป.ช. จะสามารถวินิจฉัยชี้มูลกรณีว่าหน่วยงานรัฐได้จัด GT200 และ ALPHA 6 จัดซื้อในราคาแพง ใช้ประโยชน์ไม่ได้ และมีการทุจริตหรือไม่
ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.กล่าวภายหลังศาลอังกฤษมีคำพิพากษากรณี GT200 ว่า
“เรื่องนี้จะหยุดวิจารณ์กันได้หรือยัง เมื่อบอกว่าใช้ไม่ได้ก็ใช้ไม่ได้ แล้วเราเลิกใช้กันมานาน 2-3 ปีแล้ว ส่วนใครจะผิดหรือถูก ไปฟ้องร้องในศาลเอาเอง แต่ช่วงที่ยังมีกำลังพลบางส่วนยังใช้ GT200 ในการตรวจหาระเบิดอยู่ เพราะยังไม่มีอุปกรณ์อื่น เขาใช้ในวิธีภายในของเขา เพราะเขาไม่รู้ว่ามีอุปกรณ์ไหนป้องกันตัวเอง แต่ผมสั่งห้ามใช้ไปแล้ว ถ้าใครจะใช้คงผิดคำสั่ง ส่วนที่มีการตั้งขอสังเกตว่ามีการทุจริต อยากให้ไปหาว่าใครทุจริต เพราะการจัดซื้อจัดหามีคณะกรรมการอยู่ และมีการเสนอความต้องการขึ้นมาจากหน่วยที่ใช้ ถ้ามีการทุจริตคงต้องมีการสอบสวน เพราะซื้อมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ไม่เห็นว่าจะมีการทุจริต อย่ามาพูดว่าเป็นการทุจริต การกล่าวหาอะไรต้องมีหลักฐาน รวมถึงผลการสอบสวน”
ท้ายสุดแล้ว การสอบสวนทั้งดีเอสไอและ ป.ป.ช. จะมีมติอย่างไร แต่สำหรับหน่วยงานรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนสำคัญ ต่อมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการของรัฐ…อย่างไรไม่ให้เสียค่าโง่ซ้ำ
ปม “เรือเหาะ” SKY DRAGON
นอกจาก GT200 แล้ว “กองทัพบก” ยังต้องเผชิญคำถามปม “เรือเหาะ” หรือ SKY DRAGON ที่ได้จัดซื้อสมัยที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม และมีน้องรัก “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ.
โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในฐานะที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ใช้งบประมาณจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ทำสัญญาซื้อ “เรือเหาะ + ระบบตรวจการณ์” จากบริษัทเอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน (Arial International Cooperation) ในราคา 340 ล้านบาท โดยเรือเหาะลำนี้ผลิตโดยบริษัท Worldwide Aeros Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกา รุ่น Aeros 40D S/N 21
โดยระบบตรวจการณ์ที่มากับเรือเหาะ จะมีกล้อง 5 ตัวติดอยู่บนเรือเหาะ ส่งสัญญาณภาพแบบเรียลไทม์มายังที่ศูนย์เฉพาะกิจทั้ง ฉก.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส (ตามเป้าหมาย) นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า ตอนแรก กองทัพบกมีความต้องการจัดซื้อเรือเหาะ 3 ลำด้วยซ้ำ เพื่อมาปฏิบัติภารกิจตรวจการณ์บนฟ้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้…
สำหรับข้อมูลจำเพาะของเรือเหาะลำนี้ มีขนาดกว้าง 34.8 ฟุต (10.61 เมตร) ยาว 155.34 ฟุต (47.35 เมตร) สูง 48/3 ฟุต (13.35 เมตร) ความจุฮีเลียม 100,032 ลูกบาศก์ฟุต (2,833 ลูกบาศก์เมตร) ระยะความสูงที่สามารถปฏิบัติงานได้ 0-10,000 ฟุต (0-3,084 เมตร) ระยะความสูงปฏิบัติการ 3,000-5,000 ฟุต ความเร็วสูงสุด 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วเดินทาง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ 2 คูณ 125 HP 4-Cylinder, Continental IO-240 B ความจุเชื้อเพลิง 76 แกลลอน (300 ลิตร) บินได้นาน 6 ชั่วโมง
และมีเกณฑ์การสิ้นเปลือง ณ ความเร็วสูงสุด 50 ลิตรต่อชั่วโมง ระยะทางที่บินได้ไกลสุด ณ ความเร็วสูงสุด 560 กิโลเมตร ชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ 100 LL Grade Aviation Fuel ความจุห้องโดยสาร 4 นาย (นักบิน 2 นาย ช่างกล้อง 1 นาย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 1 นาย)
โดยปี 2552 “เรือเหาะ” ถูกนำไปบรรจุที่กองพลทหารราบที่ 15 (พล.ร.15) อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีการจัดสร้างโรงเก็บ แต่ไม่เคยใช้ปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายของการจัดซื้อ และยังมีข้อสังเกตจากบุคคลในแวดวงธุรกิจเรือเหาะว่า ราคาเรือเหาะที่กองทัพจัดซื้อน่าจะแพงเกินไปกว่าความเป็นจริง
ที่ผ่านมาเรือเหาะได้ซ่อมแซมมาแล้วหลายครั้งจากการรั่วซึม ซึ่งทางกองทัพบกได้ว่าจ้างบริษัทอื่นมาดูแลซ่อมแซมด้วยงบประมาณ 30 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทผู้ขายเรือเหาะได้ปิดตัวลงไปแล้ว รวมถึงหมดสัญญาการซ่อมบำรุง
“ยุทโธปกรณ์กองทัพบกที่มีขนาดใหญ่ของเรามีหลายร้อยชิ้นและมีเทคโนโลยีสูง ถ้าไม่ดูแลซ่อมแซมอุปกรณ์ดังกล่าวให้ใช้งานได้ ค่อยมาตำหนิ การที่เรือเหาะชำรุดก็ต้องมีการซ่อมแซม ไม่ใช่ต้องเสนอข่าวกันให้วุ่นวาย ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการจัดซื้อมีการใช้งานมีการบันทึกภาพไปดูได้ เรือเหาะมีการใช้งานขึ้นลงทำงานมาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่ต้องมีอุบัติเหตุจนชำรุดก็ต้องทำการซ่อมแซม ระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการซ่อมก็ต้องมีการตั้งงบประมาณตามระบบ ทำไมต้องมาตำหนิกันมากมาย ไม่เข้าใจ การจัดซื้อทุกอย่างโปร่งใส่ตรวจสอบได้หมดอย่างกังวล ตอนนี้รอเวลาซ่อมเสร็จรอการใช้งานต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในช่วงที่เกิดอุบัติเหตุเรือเหาะร่อนลงจอดฉุกเฉิน
จากกรณีอุบัติเหตุจากการร่อนลงจอดฉุกเฉินล่าสุดช่วงกลางปี 2556 ตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า “เรือเหาะตก” ทำให้ตัวเรือเกิดความเสียหายอย่างหนัก ล่าสุดมีรายงานข่าวว่ากองทัพบกอนุมัติงบประมาณการซ่อมแซมอีก 50 ล้านบาท เพื่อให้โครงการ “เรือเหาะ” ยังคงอยู่ต่อไป


วิจารณ์แซด! ภาพรถหุ้มเกราะของ สตช. หลังพบเป็นแค่มอร์’ไซค์ ครอบด้วยเหล็ก
เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ขณะนี้ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก @สถานี RTV1 สำนักข่าวออนไลน์ 24 ชั่วโมง ได้มีการโพสต์ภาพที่อ้างว่าเป็นรถหุ้มเกราะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จัดซื้อมาในราคากว่า 4แสนบาท เพื่อเตรียมนำไปใช้ปฏิบัติการณ์ในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรถคันดังกล่าวมีลักษณะคล้ายรถจักรยานยนต์พ่วงข้างล้อมไปด้วยเกาะกำบัง พร้อมเครื่องมือสื่อสารติดตั้งในตัวรถ
 
ทั้งนี้เมื่อภาพดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปก็ทำให้มีคนเข้าไปแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก พร้อมตั้งคำถามกลับไปด้วยว่าสภาพรถคันดังกล่าวคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนไปหรือไม่
MThai News
 
ภาพจาก @สถานี RTV1 สำนักข่าวออนไลน์ 24 ชั่วโมง
http://news.mthai.com/headline-news/266234.html/comment-page-4

66
สงสัย ทบ.ซื้อเรือเหาะ"มือสอง" เทียบราคาส่อแพงเกินจริง 8 เท่า
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
แวดวงธุรกิจเรือเหาะตั้งข้อสงสัย "สกาย ดรากอน" ของกองทัพบกส่อแพงเกินจริง พบบอลลูนยักษ์ของ "แอร์ชิป เอเซีย" ที่นำเข้ามาก่อนหน้า ขนาดใกล้เคียงกัน ราคาแค่ 30 กว่าล้าน แถมอาจซื้อของมือสองหรือไม่ก็ลำที่ใช้ในการสาธิต เหตุสั่งซื้อแค่ 2 เดือนได้ของ ทั้งๆ ที่กระบวนการสั่งผลิตลำใหม่ใช้เวลาเกือบปี
          ยังคงมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของโครงการจัดซื้อ "เรือเหาะตรวจการณ์" เพื่อใช้ในภารกิจแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลถึงราคาเรือเหาะที่แพงเกินจริง เพราะบริษัทกันตนา กรุ๊ป ซื้อมาถ่ายทำภาพยนตร์ในราคาเพียง 30 ล้านบาท แต่ของกองทัพบกซื้อในราคาถึง 350 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ต่อมาผู้บริหารบริษัทกันตนาฯออกมาชี้แจงว่าทางบริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของเรือเหาะ แต่เช่ามาจากบริษัทแอร์ชิป เอเซีย นั้น
          ล่าสุดจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า กองทัพบกโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในฐานะที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ใช้งบประมาณจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ทำสัญญาซื้อ “ระบบเรือเหาะตรวจการณ์” จาก บริษัทเอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน (Arial International Cooperation) โดยเรือเหาะลำนี้ผลิตโดยบริษัท Worldwide Aeros Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกา รุ่น Aeros 40D S/N 21 หรือ สกาย ดรากอน (SKY DRAGON)
          กระนั้นก็ตาม มีข้อสังเกตจากบุคคลในแวดวงธุรกิจเรือเหาะว่า ราคาเรือเหาะที่กองทัพจัดซื้อน่าจะแพงเกินไป เพราะเรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย ที่นำเข้าและจดทะเบียนก่อนที่กองทัพจะจัดซื้อ และมีขนาดใกล้เคียงกับเรือเหาะ “สกาย ดรากอน” นั้น มีราคาเพียง 30-35 ล้านบาทเท่านั้นเอง
          "เรือเหาะที่มีขนาดใกล้เคียงกับที่กองทัพจัดซื้อมากที่สุด คือเรือเหาะลำที่บริษัทแอร์ชิป เอเซีย นำเข้ามา โดยมีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ ราคาราว 30-35 ล้านบาทเท่านั้น"
 
เฉพาะ"บอลลูน"แพงกว่าร่วม 200 ล้าน
          แหล่งข่าวซึ่งอยู่ในวงการธุรกิจเรือเหาะ อธิบายต่อว่า เรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย มีขนาดยาว 34 เมตร ขณะที่ของกองทัพ ตามสเปคที่นำเสนอสู่สาธารณะก่อนหน้านี้ มีขนาดยาว 47.35 เมตร ซึ่งก็ถือว่าไม่ใหญ่กว่ากันมากนัก แต่ราคาเฉพาะตัวบอลลูนกลับสูงถึง 230-260 ล้านบาท
          "เรือเหาะ 1 ลำมีองค์ประกอบ 2 ส่วนหลักๆ คือตัวบอลลูน กับส่วนที่เป็นห้องนักบินติดเครื่องยนต์ ซึ่งเรือเหาะทุกลำจะมีเหมือนกันหมด ส่วนกล้องตรวจการณ์จะเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก จากเอกสารที่กองทัพเคยเปิดเผยออกมาระบุว่าเฉพาะตัวเรือบอลลูนมีราคา 260 ล้านบาท แต่เท่าที่ผมทราบในวงการที่พูดกันคือ 230 ล้านบาท ก็เท่ากับแพงกว่าเรือเหาะของแอร์ชิป เอเซีย ถึง 200 ล้าน จึงมีเสียงวิจารณ์กันในหมู่คนที่รู้เรื่องเรือเหาะว่า ทำไมถึงเอากำไรกันมากมายขนาดนี้"
 
แฉเติมฮีเลียมสุดแพงครั้งละ 3 ล้าน
          แหล่งข่าวคนเดิม ยังให้ข้อมูลอีกว่า กระบวนการผลิตบอลลูนของเรือเหาะแต่ละลำไม่ค่อยต่างกันนัก หรือจะเรียกว่าเหมือนกันทั้งโลกก็ว่าได้ เพราะบอลลูนที่ได้มาตรฐานสากลแทบจะผลิตจากแหล่งเดียวกันหมด คือใช้วัสดุสังเคราะห์พิเศษ มีความหนา 7 ชั้น ชั้นในเป็นตาข่ายป้องกันอะตอมก๊าซฮีเลียมรั่ว ส่วนชั้นนอกโดยมากเป็นสีครีม เพื่อป้องกันรังสียูวี ไม่ให้เกิดความร้อนจนทำให้ให้ฮีเลียมขยายตัวเร็ว
          "บอลลูนลอยได้เพราะอัดก๊าซฮีเลียมเข้าไป ส่วนเครื่องยนต์ที่ติดอยู่กับห้องนักบินจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้บอลลูนเดินหน้าช้าหรือเร็ว ขณะที่แพนหางเป็นตัวบังคับขึ้น-ลง ก๊าซฮีเลียมนั้นเติมกันครั้งละ 7-8 แสนบาท แต่ของกองทัพได้ข่าวว่าเติมครั้งละ 3 ล้านบาท ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงแพงกว่าที่ควรจะเป็น"
 
สงสัย ทบ.ซื้อเรือเหาะมือสอง
          ทั้งนี้ แม้จากข้อมูลจะค่อนข้างชัดเจนว่า เรือเหาะของกองทัพไม่ได้ซื้อต่อจากบริษัทในประเทศ แต่ในวงการธุรกิจเรือเหาะก็ยังตั้งข้อสงสัยว่า เป็นเรือเหาะที่ผลิตขึ้นใหม่จริงหรือไม่
          "การผลิตเรือเหาะแต่ละลำจะต้องมีการขึ้นทะเบียนว่าผลิตปีไหน อย่างไร เรือเหาะที่กองทัพบกซื้อ ถ้าเป็นของใหม่จริงต้องมีหลักฐานการขึ้นทะเบียน ถ้าไม่ใช่ของใหม่ก็ตรวจสอบได้ ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยก็เพราะการสั่งซื้อเรือเหาะแต่ละลำต้องใช้ระยะเวลาในการผลิต สั่งแต่ละครั้งเกือบ 1 ปี แต่กองทัพบกมีเวลาเพียงพอแค่ไหนที่จะผลิตของใหม่ หรือใหม่เฉพาะเครื่องยนต์" แหล่งข่าว ตั้งข้อสังเกต
          และว่า หากไม่ได้จัดซื้อของใหม่ หรือไปซื้อลำที่บริษัทผู้ผลิตใช้ในการสาธิต จะส่งผลถึงอายุการใช้งาน เพราะเรือเหาะใหม่แต่ละลำมีอายุการใช้งาน 5-7 ปี ส่วนห้องนักบินมีอายุมากกว่า ฉะนั้นหากไปซื้อต่อมือสองมา ราคาที่จัดซื้อก็จะยิ่งแพง เนื่องจากอายุใช้งานจะสั้นกว่าที่ควรจะเป็น
          อนึ่ง เรือเหาะตรวจการณ์ ได้รับอนุมัติจัดซื้อจากรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2552 และมีการลงนามจัดซื้อระหว่างกองทัพบกกับบริษัทเอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ปีเดียวกัน จากนั้นเรือเหาะก็ถูกส่งถึงท่าอากาศสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2552
 
กอ.รมน.ยอมรับระบบยังไม่พร้อมใช้งาน
          สำหรับข้อมูลจำเพาะของเรือเหาะลำนี้ คือรุ่น Aeros 40D S/N 21 (SKY DRAGON) ผลิตโดยบริษัท Worldwide Aeros Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกา ขนาดกว้าง 34.8 ฟุต (10.61 เมตร) ยาว 155.34 ฟุต (47.35 เมตร) สูง 48/3 ฟุต (13.35 เมตร) ความจุฮีเลี่ยม 100,032 ลูกบาศก์ฟุต (2,833 ลูกบาศก์เมตร) ระยะความสูงที่สามารถปฏิบัติงานได้ 0 -10,000 ฟุต (0-3,084 เมตร) ระยะความสูงปฏิบัติการ 3,000-5,000 ฟุต ความเร็วสูงสุด 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วเดินทาง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ 2 คูณ 125 HP 4-Cylinder, Continental IO-240 B ความจุเชื้อเพลิง 76 แกลลอน (300 ลิตร) บินได้นาน 6 ชั่วโมง
          เกณฑ์การสิ้นเปลือง ณ ความเร็วสูงสุด 50 ลิตรต่อชั่วโมง ระยะทางที่บินได้ไกลสุด ณ ความเร็วสูงสุด 560 กิโลเมตร ชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ 100 LL Grade Aviation Fuel ความจุห้องโดยสาร 4 นาย (นักบิน 2 นาย ช่างกล้อง 1 นาย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 1 นาย)
          ทั้งนี้ หลังจากเรือเหาะถูกส่งถึงประเทศไทย ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่จากกองทัพบกไปฝึกการใช้งานเรือเหาะตรวจการณ์กับทางบริษัทผู้ผลิต และได้มีการก่อสร้างโรงจอดที่กองพลทหารราบที่ 15 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อโรงจอดสร้างเสร็จ จึงเคลื่อนย้ายเรือเหาะไปไว้ที่โรงจอดดังกล่าวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และเริ่มทดลองใช้ ทว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถตรวจรับและใช้งานจริงได้
          พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า ขณะนี้เรือเหาะยังไม่พร้อมใช้งาน แต่เมื่อพร้อมใช้งานจริงจะมีระบบเชื่อมสัญญาณระหว่างตัวเรือเหาะกับภาคพื้นทั้งหมด 30 จุด ทั้งหน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ในพื้นที่ และกองบัญชาการกองทัพบก แต่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งยังไม่เรียบร้อย
 
-----------------------------------------------------------------
ภาพ : สุเมธ ปานเพชร
อ่านประกอบ : ข่าวและสกู๊ปข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับ "เรือเหาะตรวจการณ์" ในเว็บอิศรา...
http://www.isranews.org/south-news/scoop/item/1650-qq-8.html

67
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / Re: กฎหมายมีไว้ทำไม
« เมื่อ: ธันวาคม 19, 2013, 08:26:41 AM »
เห็นข่าวนี้แล้วเศร้าใจ ทีพวกจัญไรรุกป่ารุกเขา ไม่ติดคุก แต่คนไปเก็บเห็ดดันติดคุกซะหลายปี

ไปเก็บเห็ดโดนจับรุกป่า ผัวเมียติดคุกวอนให้ช่วย
โลกโซเชียลด่ากันกระหึ่ม ตำรวจทำพิลึกจับ 2 ผัวเมียเข้าไปเก็บเห็ดในป่าข้อหาบุกรุก ถูกสั่งจำคุกถึง 30 ปี ญาติร้องให้ช่วยยันไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา  เชื่อเป็นแพะถูกยัดเยียดความผิดปิดจ็อบของเจ้าหน้าที่ป่าไม้แทนพวกนายทุนที่รุกป่าตัวจริง  วอนชาวเน็ตรวมพลังช่วยเหลือ

กรณีนายอุดม ศิริสอน อายุ 51 ปี และนางแดง ศิริสอน อายุ 48 ปี สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 73 หมู่ที่ 4 ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและลักลอบตัดไม้ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2553 ศาลสั่งจำคุก 30 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือ 15 ปี ล่าสุดคดีอยู่ระหว่างฎีกานั้น

ที่สตูดิโอ 8 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ถนนลาดพร้าว เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมด้วยนายอุดม ซึ่งได้รับการประกันตัว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. เปิดแถลงข่าวขอความเป็นธรรม หลังออกรายการ “ปากโป้ง” นายสงกรานต์กล่าวว่า ญาติผู้เสียหายได้ร้องว่า นายอุดมและภรรยาไม่ได้ทำความผิดบุกรุกตัดไม้ในป่าสงวน 72 ไร่ ตามที่พนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ฟ้องต่อศาล ตนดูหลักฐานการสอบสวนและสำนวนที่ส่งศาลเชื่อได้ว่าไม่ได้ทำผิดจริง ที่รับสารภาพเพราะเข้าใจผิด คิดว่าที่ตำรวจสอบสวนเป็นเรื่องการเข้าไปเก็บเห็ด แต่เมื่อถูกฟ้องกลายเป็นเรื่องบุกรุกป่าตัดไม้ ญาติได้ไปร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ แต่คดีอยู่ในศาลแล้ว จึงมาร้องให้เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติฯช่วยเหลือ

นายสงกรานต์กล่าวว่า จากการเข้าไปตรวจสำนวนพบว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จึงร้องต่อศาลฎีกาให้ไต่สวนข้อเท็จจริง ไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ขณะนี้สำนวนการสอบสวนอยู่ในศาลฎีกาหมดแล้ว ศาลฎีการู้สำนวนแล้ว มีการไต่สวนทุกปาก แม้แต่ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ก็มาไต่สวน ในเรื่องความประพฤติและความน่าเชื่อว่านายอุดมและภรรยากระทำความผิดหรือไม่ เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าในสถานที่เกิดเหตุไม่เจอตัวทั้งสองคน เจอเพียงรถจักรยานยนต์เท่านั้น เมื่อสอบถามว่ารถไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรก็บอกว่าไปเก็บเห็ด ตำรวจเรียกไปสอบก็เรื่องเก็บเห็ดไม่มีเรื่องบุกรุกป่า จึงยอมรับสารภาพ ศาลได้สั่งจำคุก 30 ปี แต่ลดกึ่งหนึ่งเหลือ 15 ปี วันนี้ความจริงเริ่มปรากฏว่าเป็นแพะ หลายฝ่ายกำลังยื่นมือช่วย นายอุดมได้ประกันตัวในวงเงินประกัน 5 แสนบาท และในวันที่ 23 ธ.ค. จะขอยื่นประกันตัวนางแดง จึงอยากวิงวอนศาลฎีกา หลังจากดูสำนวนการสอบสวน โปรดเมตตาให้ประกันตัวเพื่อให้มาดูแลสามีที่กำลังป่วย และขอให้อัยการสูงสุดเข้ามาสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังคดีนี้

“นายอุดม หูตึง เดินก็ไม่ค่อยไหว ตอนนี้ยังป่วย ต้องรักษาตัวที่ถูกรถบรรทุกชน เลือดออกในสมอง ติดคุกมาแล้ว 1 ปี 8 เดือน ได้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ถือว่าได้รับความเป็นธรรมในระดับหนึ่ง ตอนนี้ศาลฎีกามีข้อเท็จจริงหมดแล้ว จากการไต่สวนที่ตำรวจสอบมาทั้งหมดเป็นเรื่องเก็บเห็ด ไม่มีการตัดไม้ และเป็นการสอบทันทีทันใด ไม่มีทนายความเอาไปสอบส่วนตัว จนถูกสั่งจำคุก ได้มาร้องผมระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา จึงขอให้ศาลไต่สวน เพราะคดีนี้ผิดปกติวิสัย สอบกี่ครั้งๆ ก็เก็บเห็ด แล้วมาตั้งข้อหาเรื่องบุกรุกป่า กรณีนี้จะเป็นอุทาหรณ์ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ การใช้อำนาจและกฎหมาย จึงอยากถามว่ามีใครเอาสองตายายเป็นแพะ ปิดจ๊อบช่วยนายทุนหรือไม่” นายสงกรานต์กล่าว

ด้านนายอุดมกล่าวว่า ยืนยันว่าเข้าไปเก็บเห็ด ไม่ได้ตัดไม้ แต่ต้องติดคุกทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ที่ผ่านมาได้แต่ยกมือท่วมหัวขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถ้าทำผิดก็ขอให้ถูกลงโทษตายไปเลย แต่ถ้าไม่ผิดก็ขอให้มีโอกาสรอด รู้สึกน้อยใจในโชคชะตา ที่ศาลตัดสินให้ติดคุก และสงสารภรรยาที่ถูกจำคุกยังไม่ได้ประกัน ตอนอยู่ในคุกได้แต่เขียนจดหมายไปบอกว่าไม่ต้องห่วง ตนสบายดี ทำใจได้แล้ว กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่จริงๆยังทำใจไม่ได้ นั่งร้องไห้เกือบทุกวัน วันนี้รู้สึกดีใจที่หลายคนยื่นมือช่วยเหลือทำให้เริ่มมีความหวัง

สำหรับกรณีนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ก มีการนำข้อมูลของสามีภรรยาเก็บเห็ดถูกคดีบุกรุกป่ามาโพสต์แสดงความเห็นพร้อมทั้งร้องขอความเป็นธรรม ขอให้ชาวเน็ตรวมพลังช่วยเหลือ บางคนมองว่าศาลไม่ผิด ต้องต่อว่าคนทำคดีและพนักงานสอบสวน กฎหมายไทยเอื้อเฉพาะคนรวย ส่วนคนจนติดคุก รวมทั้งนายนครินทร์ พุ่มระนาด หรือ “เน วัดดาว” อดีตสมาชิกแก๊งโอรส ที่เคยโด่งดังจากการท้าตีท้าต่อยกับ “แอล โอรส” ผ่านโซเชียลแคม แต่ภายหลังได้ประกาศกลับตัวกลับใจเป็นคนดีไม่ยุ่งสิ่งผิดกฎหมาย ก็ได้เข้ามาช่วยเหลือ ทั้งโพสต์ข้อความระดมความช่วยเหลือจากชาวเน็ต และรวบรวมเงินมามอบช่วยเหลือจำนวน 2.5 หมื่นบาท

ที่มา http://m.thairath.co.th/content/newspaper/390045

68
นักการเมืองไทย........รวยๆกันทั้งนั้นครับท่าน

69
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

70
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

71
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

72
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

73
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

74
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / Re: กฎหมายมีไว้ทำไม
« เมื่อ: ธันวาคม 10, 2013, 01:46:10 PM »
เมื่อเราอยากให้คนอื่นทำตามกติกา
แต่ตัวเราไม่ทำเสียเอง
คงเป็นไปไม่ได้

75
ห้องสภากาแฟและอื่นๆ / Re: กฎหมายมีไว้ทำไม
« เมื่อ: ธันวาคม 10, 2013, 01:41:22 PM »
เมืองไทยวันนี้..........

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12