ของผม ไม่เป็นไร ครับ เพราะมีตึกสูง อยู่ใกล้บริเวณ แต่ละตึก มีสายล่อฟ้า หมด

แถมไม่ได้ สาบานให้ ฟ้าผ่า มาหลายปีแล้ว  บอกแค่ ขอให้ ตกน้ำ ป่อมแป๋ม ครับ

( อิ อิ ก็ ว่ายน้ำเป็น นิ )

ก็ต้อง ขอบคุณครับ เพราะจำตอนที่รา มันขึ้นไม่ได้ว่า เปิดแล้ว คนพลิกลงล่าง (หมายถึง ราบนกล้วย นะ)

หรือ แค่เขย่าๆ ขวด โดยไม่ต้องเปิดโหลดอง  ตอนนี้ ยังไม่มีอาการ แค่ ฟองอากาศตอนเติมน้ำผึ้ง ลอยขึ้นมาแล้ว

โปรดติดตามตอนต่อไป

(ตอนที่ราขึ้นแล้วพลิก จ้า) 

เห็นท่านอดุลย์ เกริ่นๆ เรื่องสูตรกล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง จะเอามาปะใหม่  ก็ได้ แต่ รอ ร้อ รอ

วันนี้ เลยไม่รอ เพราะซื้อโหลดองปิดผนึก มานานแล้ว ไม่ได้ทำซะที ตั้งแต่ที่บอกไว้ในกระทู้เก่า
เสียตรงที่ ซื้อโหลมาผิดขนาด ไม่ใช่ ขนาด 1 ลิตร แต่เป็น 750 CC  แถมด้วย ซื้อน้ำผึ้งมาผิดขนาด ไม่ใช่ 450 CC อย่างตั้งใจ ดันเป็น 450 กรัม เลยต้องมาปรับอัตราส่วน จากของเดิมที่เคยจดไว้ ก่อนเว็บล่ม คือ

- กล้วยน้ำว้า 10 ลูก ต่อ น้ำผึ้ง 750 CC.

ได้น้ำผึ้งมา 450 กรัม ประมาณ 325 CC เลยต้องลดปริมาณกล้วย ลงตามอัตราส่วน เหลือ แค่ 4 ลูก
กล้วยมาจากกรณี By product จากการที่ เจ้าตัวยุ่งในบ้าน ทานไม่หมด เหลือ พอเห็นเปลือกคล้ำแล้ว ไม่ค่อยมีใครกล้าทาน  แต่ผมจำได้ว่า เคยอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ บอกว่า  กล้วยตอนที่เปลือกคล้ำๆ จะมีสารต้านมะเร็งเยอะกว่า ตอนที่ยังสวยอยู่ 

ตอนจะเรียงตั้งใจ จะเรียงเป็น ชั้นๆ(Layer) มาเผลอตรงที่ คิดว่าจะเรียงลงไปทีละลูกเลย ไม่ใช่ ทีละชั้นแล้ว เทน้ำผึ้งกลบ เลยกลายเป็น หั่นกล้วยเรียงทีละลูก และ  กลบด้วยน้ำผึ้ง มันเลยออกมาอย่างที่เห็น
คือ กล้วยมันลอยขึ้น แทนที่จะจมอยู่ เป็น ชั้นๆ อย่างตั้งใจ ทีแรก  แต่ก็เสร็จแล้วหล่ะ 

ทีนี้ ที่เหลือ รบกวนท่าน อดุลย์ มาต่อ สูตรให้ด้วย คร้าบ ๆ ๆ ๆ
 
เพราะผมจำไม่ได้แล้ว เนื่องจากคล้า้ยๆว่า รามันจะต้องขึ้นในขวด ใช่ป่าว เพราะมันมีฟองอากาศอยู่
ทีนี้ เมื่อราขึ้นแล้ว ให้พลิกกลบ หรือ ทำยังไงต่อ ครับ
 
แล้ว เราค่อยมาดูกัน ผมจะทำหน้าที่ รายงานข่าว เป็นระยะๆ จนครบกำหนด สามเดือน (ตามที่จำได้)

หากเป็นผลดีประการใด เผื่อจะเกิด สินค้า OTOP ชนิดใหม่ก็ได้ 

"ยาอายุวัฒนะ สูตรกล้วยน้ำว้าดอง สำหรับผู้ต้องการเตะปี๊บ กระจาย"  อิ อิ ชื่อยาวไป ป่าว

ผมยังไม่ต่อ ประเด็น นะ ขอรอ เจ้าของกระทู้ก่อน เพราะคุยๆไป แล้ว เจ้าของกระทู้ไม่ตามกลับมาดู เสียเวลา

เดี๋ยวเหมือน น้องที่มาถาม ความเห็นขอความช่วยเหลือ เรื่อง ผรม. ข้างบ้านที่มาใหม่ มาส่งเสียรบกวน ก็เงียบไป เลยไม่อยากเสียเวลาคิดต่อ

สวัสดีครับ

ผมขอใช้ ข้อสังเกตุเล็กน้อย ของตัวเอง จากประสพการณ์ อธิบายดังนี้

1. เมื่อโจทย์ตั้ง เป็นการดึง Stud เกลียว M45 x 1.5  MAT = AISI 4140  ให้แน่นอยู่กับที่ด้วย lock nut 
2. ใช้ตัวเชื่อม ตัวเชื่อมต่อสีแดง และสีชมพู.  ควรใช้ Mat.อะไร  และขนาดเท่าไหร่  และ แรงที่ใช้

ประเด็นแรกคือ Mat AISI-4140 = JIS:SCM4/SCM440, DIN-1.7225 ซึ่งเป็น Chromium-molybdenum steel  จัดอยู่ในกลุ่ม Alloy Steel 

ประเด็นถัดมา วัสดุอื่นที่ จะใช้ทำตัวเชื่อม ไม่ว่าจะเป็น สีแดง สีฟ้า หรือ สีเขียว (ยกเว้น Lock Nut)  จะต้องเป็นเกรดที่ดีกว่า มีค่า การยืด/หด ที่น้อยกว่า ซึ่งอาจจะอยู่ใน กลุ่ม ของ
- High Speed Alloy ที่อาจต้องชุบแข็ง ( SCM-4 ดูเหมือนจะชุบแข็ง แบบอินดักชั่นได้ เพื่อให้ การยึด/หด ตัวน้อยลง แต่นั่นอาจไม่ใช่ วัตถุประสงค์ ของ อาจารย์ ผู้สอน ในการเลือกใช้ วัสดุ )
- หรือ Chromium Valadium Alloy หรือ อื่นๆ ( กรุณาไปเปิด ตารางหาดู )

และเมื่อคุณได้ Mat มาแล้ว ก็คำณวณ โดยต้องคำนึงถึง แรงที่กระทำทางด้านของ อุปกรณ์ที่ใช้ ดึง Stud ร่วมด้วย ว่ายาวเท่าไหร่ หน้าตัดเท่าไหร่  รวมถึง ระยะห่าง หรือ ขนาดของ ตัวที่ใช้ถีบดึง Stud

สำหรับ Lock Nut ผมยังไม่เห็นความจำเป็นของ การใช้ วัสดุที่แตกต่างจาก M45 x 1.5 เพราะ

1. ผิดหลักการออกแบบ เนื่องจากการใช้ Fastener หากวัสดุแตกต่าง จะทำให้เกิดการสับสน ยกเว้น มีการระบุสเปคที่ชัดเจน ( ความเห็นส่วนตัว หากใน Oil & Gas หรือ โยธา มีช่วยบอกด้วย ในงานเครื่องกลผมไม่ค่อยเจอ )
2. ขนาดของ Lock Nut M45 ให้เปิดตารางมาตรฐานดู (ในหนังสือ ตารางโลหะก็น่าจะมี)  เพราะโจทย์ไม่ได้เอ่ยถึง

ส่วนตัวเชื่อม หรือ ดึง Stud (ดูเหมือนจะเป็นตัวสีแดง) ขนาดโตนอกควรจะคำนวณ ค่าความสามารถในการดึง ด้วยแรง สำหรับการดึง Stud AISI-4140 ให้ยืดด้วย ไม่ต้องใหญ่มากเกินไปก็ได้  หรือไม่น่าจะเกิน 75 มม.  (ก็ตามความคิดเห็นอีกแหละ) ส่วนเกลียวท้ายไม่เห็นต้องมี ทำไมไม่ยึดด้วยการ ล็อคนัตสองด้าน หรือ เชื่อมติด เพื่อไม่ต้องมานั่งคำนวณ การยืดตัว ณ.จุดนั้น (จุดเชื่อมกับแป้นด้านขวา)

ขอตั้งขอสังเกตุ แค่นี้ก่อน แล้วค่อยมา ว่ากันต่อ หากผมนึกอะไรได้

ผมไม่แน่ใจ ณ.ปัจจุบันเท่าไหร่นัก เพียงแต่ เท่าที่เห็นผ่านๆมา
มาสด้า ตอนนี้ ใช้เครื่องยนต์ของฟอร์ด  ขณะที่ มิตซู มีเครื่องยนต์ของตนเอง

เท่าที่เคยใช้ มาสด้า ซึ่งเป็นรถแวน ในอดีต  โดนรถทัวร์ ชนบริเวณช่วงท้ายแวน ด้านขวา รถหมุนแต่ไม่มีการพลิกคว่ำ  (หมุนไปลงข้างทางฝั่งตรงข้าม ใน ถ.เอกชัย คนมุงนึกว่า คนขับตาย)  เวลาสาดโค้ง ทำได้อย่างมั่นใจ เพราะไม่มีดิ้น ไม่หลุด หรือ แกว่ง
ความหมายคือ เท่าที่เคยสัมผัส มาสด้า เขามีความเก่งเรื่อง ช่วงล่าง ที่เกาะถนนได้ดี เวลาเข้าโค้ง ในขณะที่ บางยี่ห้อ แค่แตะเบรค เล็กน้อย ท้ายเริ่มจะหัน ออกไป ทักชาวบ้าน ที่สวนมา แม้แต่ทางราบ (เป็นบางรุ่น บางยี่ห้อ ซึ่งน่าจะแก้หายแล้ว) 

มิตซู มีจุดเด่นในอดีต คือ เครื่องแรง อัตราเร่งดี และ การออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่สบายเวลาขับนานๆ โดยเฉพาะ รถตระกูลกาแลนท์ แต่สำหรับ รถกระบะ ท่านต้องลองเข้าไปนั่งดูเอง 

ฟอร์ด และ มาสด้า(BT-50) อย่างที่บอกคือ เครื่องน่าจะเป็นแบบเดียวกัน แต่ ฟอร์ด ใช้ช่วงล่างจาก Dana ซึ่งดูเหมือนจะต่างจาก มาสด้า ( ยังไม่ยืนยัน เพราะยังไม่ได้โทรถาม ลูกศิษย์ ที่ Dana ว่าตอนนี้ ทำส่งโรงไหนบ้าง) 

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยี เครื่องยนต์ ปัจจุบันหนีกันไม่ไกลมากนัก หากขับในความเร็วไม่เกิน 100 Km/H แต่หากเกิน 120 KM/H จะมีข้อแตกต่างกันบ้าง ลองไปหาข้อมูลดูได้จาก เว็บของยานยนต์ เช่นของ อ.ธเนศ

ความต่าง และ เป็นความเห็นส่วนตัวของผม คือ การออกแบบห้องโดยสาร และ เบาะนั่ง
ในอดีตที่ ผมชอบ มิตซู-กาแลนท์ เพราะเบาะนั่้ง ทั้งคนขับ และผู้โดยสาร เวลาที่นั่งลงไปแล้ว ขอบของเบาะนั่ง จะยาวมาเกือบถึง ข้อพับใน และระยะห่างหลังปรับเบาะ จะไม่ทำให้หัวเข่าชิดกับ คอพวงมาลัย และ คอนโซลหน้ารถมากเกินไป (ประมาณอย่างน้อย 1 สันฝ่ามือตั้งขึ้น ) และเท้ายืดเต็มที่ ในขณะที่ท้องน่องยังราบอยู่กับเบาะ ไม่มีอาการชันขา คือ ก้นแต่เบาะ และ ขาลอย เพราะเท้่าติดพื้นแล้ว  เช่นเดียวกันกับ เบาะหลัง   
เบาะนั่งรถบางรุ่น ยาวมาแค่ ครึ่งของท้องน่อง หรือ ขาลอย เวลานั่งแล้วเท้ายันพื้น ทำให้หลายคน ชอบนั่งขัดสมาต บนเบาะรถ เวลาเดินทางนานๆ แล้ว เมื่อย ต้องเสียเวลาลงมา บิด มั่ง หาคน นวด มั่ง
(หาเหตุไปเรื่อยแหละ)

สรุป คือ ผมให้ความสำคัญกับ
ห้องโดยสาร  เป็น อันดับ 1
ระบบช่วงล่าง เป็น อันดับ 2
เครื่องยนต์    เป็น อันดับ 3

นอกนั้น ตามแต่ พิจารณาครับ 

( ความชอบส่วนบุคคล  การลอกเลียนแบบ พึงพิจารณา เพราะไม่รับผิดชอบ อิ อิ )

ความจริงโทรศัพท์บ้าน ของผมก็ True แต่ไม่มีปัญหา เพราะเอามาใช้เป็นเบอร์แฟกซ์
ส่วนตามคน ก็มือถือ ตลอด บางที โทรคุยกัน ตอนอยู่ในบ้านนี่แหละ พวกนึกว่าเราออกไปข้างนอกแล้ว

สำหรับ ท่านที่บ่นๆ ทั้ง Happy, Dtac ก็ขอแสดงความเห็นใจ  ของผมใช้ ของ นช. ดีมั่งเสียมั่ง แต่ไม่กล้าเปลี่ยน เบอร์ หรือ ย้ายค่าย เพราะใช้แบบ บุ๊ปเฟ่  เดือนนึง ไม่ถึง พันบาท ก็พอใจแล้ว ตามอรรถภาพ

"แรงดันไว้ที่ 15 ปอนด์ อุณหภูมิ ควบคุมไว้ที่ 75 องศาเซลเซียส" 

สำหรับเรื่องอันตราย ผมว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา ส่วนจะเกิดไอหรือไม่ คงต้อง ขอเรียนว่า ท่านต้องลองศึกษาดูว่า
ของเหลว ชนิดใด สามารถกลายเป็นไอ ที่ 75องศาได้ และ มองเห็นเป็น ไอ และ เกิดแรงดัน ตามต้องการ

แต่หากเป็น "น้ำ" ที่ 75 องศา ผมไม่คิดว่า มันจะเป็น ไอ และ เกิดแรงดันได้ มากนัก กระมัง
นอกจาก อยู่ใน สภาพสูญญากาศ หรือ แรงกดอากาศต่ำ ที่น้ำ สามารถกลายเป็น ไอ ที่อุณหภูมิ ต่ำกว่า 100 องศา