วันนี้ มี บทความดีๆ สะท้อนให้คิด หลายคนอ่านแล้วคิดได้ หลายท่าน ยังไปไม่ถึงสุดซอย...ก็จะไปให้ถึง ..แบบสุด ด้ามไม้กวาด แล้ว สบายใจ ด้ามไม้กวาด ทำอะไร ..ไล่จิ้งจกไง ..เเล้วไป นึกว่า พาดพิง เดี๋ยวสวย อิอิ
มาดูคนที่รวยที่สุดในโลก เค้าทำอะไร คิดอะไร หลุดพ้นแล้ว...สุดท้าย ก็ตัวเรานี่เอง ..เฮ้อ จะไปเมื่อไหร ไปยั่งไง ...คนทีเคยอยู่ด้วยกัน จะไปด้วยมั๊ย(คนเดียวเหอะ อิอิ)....ขอชื่นชม ท่านนะครับ มีจิตใจที่เอื้ออาทรจริง น้องหมาพิการ ท่านยังเมตตา สุดยอด เอ้า อ่านบทความจาก มติชน ได้เลบ จร้าาาาา จบข่าว
ประธานาธิบดีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกกำลังจะลาจาก
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 22:58:24 น.
ประเทศอุรุกวัยดูเป็นประเทศที่มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนลูกฟุตบอลทันทีเมื่อผู้เขียนทราบว่าประเทศนี้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกเวิลด์คัพเป็นประเทศแรกเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลโลกเวิลด์คัพเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2473 และอุรุกวัยได้แชมป์
ฟุตบอลโลกเวิลด์คัพเป็นครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ.2493 ก่อนหน้านี้อุรุกวัยยังได้เหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลสองครั้งในโอลิมปิกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พ.ศ.2467 และโอลิมปิกที่กรุงอัมสเตอร์ดัม พ.ศ.2471 นอกจากนี้ อุรุกวัยคือแชมป์โคปาคัพ (แชมป์ฟุตบอลของทวีปอเมริกาใต้นั่นแหละและ
โคปาคัพนี้ถือว่าเป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย) มากที่สุดเพราะจากการแข่งขันชิงแชมป์โคปาคัพนี้จัดมาแล้ว 43 ครั้ง โดยมีอุรุกวัยเป็นแชมป์ถึง 15 ครั้ง รวมทั้งครั้งล่าสุดนี้ใน พ.ศ.2554 ในขณะที่บราซิลและอาร์เจนตินามักจะแพ้ทางต่ออุรุกวัยบ่อยๆ
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ อุรุกวัยส่งออกนักฟุตบอลออกไปเล่นในทีมต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้บราซิลและอาร์เจนตินาถึง 1,414 คน ในช่วงทศวรรษ 2000 (พ.ศ.2543-2552) จนรัฐบาลอุรุกวัยต้องออกกฎหมายควบคุมการส่งออกนักฟุตบอลตั้งแต่ พ.ศ.2553 เรียบร้อยแล้ว อีทีนี้คงน่าดูละครับสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกเวิลด์คัพในปีหน้านี้
ความจริงอุรุกวัยเป็นประเทศเล็กๆ ในทวีปอเมริกาใต้นะครับ มีเนื้อที่ประมาณ 176,215 ตารางกิโลเมตร (ขนาดพอๆ กับภาคอีสานของไทยเรา) มีประชากรประมาณ 3.3 ล้านคน แต่ประเทศนี้กลับมีประธานาธิบดีที่รวยที่สุดในโลกซึ่งใครต่อใครในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้รายงานว่าประธานาธิบดีวัย 78 ปี โฮเซ มูฮีกา ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของอุรุกวัยเป็นประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก เนื่องจากเขาปฏิเสธบ้านพักประจำตำแหน่ง
ประธานาธิบดีในฐานะประมุขของประเทศอันหรูหราที่ทางการจัดให้ ปฏิเสธการใช้ชีวิตหรูหรา แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตกับภรรยาซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกด้วยกันเพียง 2 คน โดยไม่มีคนรับใช้อยู่ในบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งในชนบทนอกเมืองมอนเตวิเดโอ มีสุนัขพิการ 3 ขา เป็นสัตว์เลี้ยงเฝ้าบ้านด้วย ใช้ชีวิตเหมือนชาวไร่อุรุกวัยทั่วไป โดยปลูกต้นเบญจมาศเพื่อตัดดอกขายเป็นพืชหลัก เขาปลูกผักไว้กินกับภรรยา น้ำที่ใช้ในแต่ละวันก็สูบขึ้นมาจากบ่อ (ไม่มีน้ำประปาใช้) มีรถไถไว้ใช้ทำสวนทำไร่ และรถโฟล์กสวาเกนเต่าเก่าๆ อีก 1 คัน ไว้ขับไปไหนมาไหนเอง (ไม่ใช้รถประจำตำแหน่ง)
ส่วนเงินเดือนที่ได้รับกว่า 360,000 บาท ในแต่ละเดือนนั้น เขาก็เก็บไว้ใช้ส่วนตัวเพียง 10% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 90% ประธานาธิบดีโฮเซ มูฮีกา บริจาคให้กับบรรดาแม่ม่ายลูกติดที่ยากจน หรือโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ ดังนั้น เขาจึงมีรายได้เพียงเดือนละประมาณ 23,000 บาทเท่านั้น จึงถูกตั้งฉายาว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก
ประธานาธิบดีโฮเซ มูฮีกา ไม่เคยผูกเนกไทเนื่องจากไม่เห็นมีประโยชน์อะไรและเนกไทอาจจะไปเกี่ยวไปพันอะไรเข้าจะเป็นอันตรายไปเปล่าๆ เขาจึงถูกกล่าวหาว่าทำตัวไม่สมกับเป็นประธานาธิบดีเลย (แปลกดีนะครับ)
จากการที่สำนักข่าวอัลจาซีราได้เข้าพบและสัมภาษณ์ประธานาธิบดีโฮเซ มูฮีกา เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ในเรื่องที่อุรุกวัยกำลังจะเป็นประเทศแรกในโลกที่ยกเลิกกฎหมายที่กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย โดยจะอนุญาตให้มีการปลูกและผลิตกัญชาเพื่อขายให้ประชาชนที่บรรลุนิติภาวะแล้วได้โดยเสรีแต่จะมีการออกใบอนุญาตให้ผู้ปลูกและผลิตกัญชาเป็นรายๆ ไปเพื่อให้รัฐบาลสามารถควบคุมปริมาณการผลิตได้ ซึ่งแนวโน้มที่จะมีการอนุญาตให้สิ่งเสพติดที่ผลิตขึ้นโดยธรรมชาติล้วนๆ ไม่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายเช่นเดียวกับยาสูบ กาแฟ ชา สุราและเมรัยนั้นกำลังเป็นที่พิจารณา อภิปรายและดำเนินการอยู่ในหลายๆ ประเทศขณะนี้ ตัวอย่างเช่นประเทศไทยก็กำลังดำเนินการยกเลิกใบกระท่อมออกจากบัญชีสารเสพติดอยู่ในขณะนี้ โดยประธานาธิบดีโฮเซ มูฮีกา ชี้แจงว่า สารเสพติดที่ผลิตโดยธรรมชาตินั้นมีฤทธิ์และอันตรายน้อยกว่าสารเสพติดที่ผลิตโดยการสังเคราะห์ทางเคมี และจะเป็นการลดการฆ่าฟันกันเป็นงานมหกรรมในภูมิภาคละตินอเมริกา (อเมริกาใต้และอเมริกากลาง) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโคเคนและมีมาเฟียหลายกลุ่มที่สามารถตั้งกองกำลังอิสระต่อสู้กับรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในประเทศนี้อย่างแพร่หลาย
ประธานาธิบดีโฮเซ มูฮีกา ยืนยันว่าเขาไม่ใช่ประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก หากแต่เป็นประธานาธิบดีที่รวยที่สุดในโลกต่างหาก เพราะว่าคำนิยามของคำว่า "จน" นั้นคือคนที่ต้องการมีต้องการได้ข้าวของวัตถุที่มีมากจนเกินไปต่างหาก และคนจนไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
ถ้าจะพูดแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ยินดีตามมี ยินดีตามได้ และยินดีตามควร หรือจะพูดแบบเล่นสำนวนก็ได้ว่า "หากหัวใจรั่วเสียแล้วใส่น้ำเท่าไรก็ไม่เต็ม"
ในช่วง พ.ศ.2503-2513 นายโฮเซ มูฮีกา เป็นทหารป่าแห่งกองกำลังติดอาวุธฝ่ายซ้ายทูปามารอสต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารของอุรุกวัย เมื่อเขาถูกทางการจับตัวได้เขาก็ได้แหกคุกออกมาครั้งหนึ่งแต่ก็โดนตำรวจตามจับจนได้ โดยตำรวจได้ยิงเขาถึง 6 นัด บาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ตายจึงถูกขังเดี่ยวอยู่ถึง 14 ปี และสิ่งที่ทำให้เขาสามารถทนอยู่ได้โดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนก็เนื่องจากเขามีตำราฟิสิกส์และเคมีอยู่ 2 เล่ม ซึ่งเขาอ่านกลับไปกลับมาใช้สมองทำความเข้าใจกับวิชาที่ยากยิ่ง 2 วิชาจนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อ พ.ศ. 2528 เมื่ออุรุกวัยกลับสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตย
ครับ ! ประธานาธิบดีโฮเซ มูฮีกา จะก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศอุรุกวัยในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2557 นี้ ตามรัฐธรรมนูญของอุรุกวัยนั้นห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่ง 2 สมัยติดต่อกัน ดังนั้น จึงมีสุภาพสตรี 3 คน เข้าแข่งขันชิงชัยกันในตำแหน่งประธานาธิบดีโดยที่มีผู้ชายสมัครเข้าแข่งขันด้วย 6 คน ซึ่งการชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีของอุรุกวัยผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงข้างมากโดยเด็ดขาดจึงจะถือว่าชนะแต่หากไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงเกินกว่าครึ่งของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงก็จะต้องมีการเลือกตั้งรอบที่สองโดยจัดเอาผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 2 คนแรกมีชิงชัยกันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลการเลือกตั้งรอบแรกนั้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงข้างมากโดยเด็ดขาดแต่สุภาพสตรี 2 คน คือ นางมิเชล แบคเชอะเลท์ พรรคเดียวกับนายโฮเซ มูฮีกา คือพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยมนั่นเอง ซึ่งนางมิเชลนี้เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอุรุกวัยมาก่อนหน้านายมูฮีกานั่นเอง โดยนางมิเชล แบคเชอะเลท์ ได้คะแนนเสียงถึง 46.70% ของผู้มาออกเสียงทั้งหมด ส่วน นางเอฟเวอลิน มาเธ ผู้เป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนเล่นกันมายามเด็กของนางมิเชลเอง ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองฝ่ายขวาอนุรักษนิยมได้คะแนนเสียงเป็นที่สองคือ 25.03% จึงต้องลงแข่งขันชิงชัยกันอีกครั้งในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2556 นี้
แน่นอนทีเดียวประธานาธิบดีโฮเซ มูฮีกา ก็จะพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคมปีหน้านี้ และจะไม่หวลกลับมาเล่นการเมืองอีกเพราะเขาพูดอยู่เสมอๆ ว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาต้องการที่ปรับปรุงในฟาร์มของเขาที่ได้ทอดทิ้งไปนานแล้ว ดังนั้น การเป็นประธานาธิบดีของนายโฮเซ มูฮีกา จึงเป็นตำนานที่มีสีสันมากตำนานหนึ่งในโลกใบนี้เลยทีเดียว